เจตจำนงแห่งผู้วายชนม์
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการปล่อยตัวเวอร์ชัน PS5 และ Xbox Series S|X ของ Ruined King เราจึงอยากที่จะมาแชร์เรื่องราวซึ่งดำเนินเรื่องเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน Ruined King พร้อมบอกเล่าเนื้อหาที่เราไม่สามารถใส่เข้าไปภายในเกมให้ทุกคนได้รับชม เราหวังว่าพวกคุณจะสนุกเพลิดเพลินไปกับการอ่านสิ่งนี้นะ และก็ขอขอบคุณที่ให้การสนับสนุนพวกเราตลอดมา
นานมาแล้วก่อนที่เธอจะกลายมาเป็นผู้กุมสัจธรรมแห่งผู้คนของเธอ อิเลาอินั้นเคยเป็นเพียงหนึ่งในสาวกนักบวชของวิหารบูฮ์รูประจำชายฝั่งมาก่อน ในทุกเช้า เธอจะมุ่งตรงไปยังชายฝั่งเพื่อออกกำลังกายท่ามกลางแสงแดด พยายามพุ่งสมาธิคำนึงถึงหลักการที่ผู้ฝึกสอนของเธอยึดมั่นไว้ขึ้นใจ ""วินัย การเคลื่อนไหว และพละกำลัง""
แต่เช้าวันหนึ่งในขณะที่เธออยู่เพียงลำพังที่ชายฝั่ง น้ำทะเลก็พลันลดต่ำลงยิ่งกว่าช่วงน้ำลงสุดของทุกวัน และไม่นานผู้สังเกตการณ์บนหอยคอยอัญเชิญอสรพิษก็เริ่มสั่นระฆังและชี้มือไปยังเส้นขอบทะเล
คลื่นยักษ์กำลังก่อตัวและถาโถมเข้ามายังชายฝั่งด้วยพลังกำลังที่สามารถบดขยี้กระดูกและฉีกกระชากผู้คนให้หายไปจากท้องทะเล
ในช่วงวินาทีที่ได้ยินเสียงระฆัง ความหวาดกลัวก็พลันเข้าปกคลุมจิตใจของอิเลาอิและบทเรียนของผู้ฝึกสอนของเธอก็ไม่เหลืออยู่ในห้วงความคิดอีกต่อไป ยังหนีทันไหมนะ? เธอคิดในใจ หรือข้าควรรอชะตาอยู่ตรงนี้?
เธอมองไปที่คลื่นยักษ์ จากนั้นก็สลับมองไปที่ผืนน้ำ ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นฝูงปูสีชมพูกองรายอยู่ที่เท้าของเธอ คลื่นยักษ์ได้ดูดน้ำทะเลไปจนหมดสิ้น และปูเหล่านั้นก็ถูกทิ้งให้แน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนกองหิน ถูกทอดทิ้งให้สิ้นกำลังด้วยแสงอาทิตย์ ความตกใจ และความลังเล
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตัวเล็กกระจ้อยร่อยเกินไปที่จะเข้าใจความกลัวที่พวกมันกำลังพบเจอ ปูตัวหนึ่งจะไปหลบเลี่ยงคลื่นยักษ์เช่นนั้นได้อย่างไร
แต่อิเลาอิทำได้ เธอสะบัดตัวเองให้ตื่นและรีบวิ่งกลับไปยังประตูวิหาร พอทันเวลาที่นักบวชหญิงในนั้นจะปิดมันลงได้ทัน ในขณะที่เธอเกาะขอบราวของวิหารและเฝ้ามองไปยังคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่งอยู่นั้น เธอก็พลันคิดกลับไปถึงชั่วเวลาที่เธอหยุดนิ่งไปด้วยความกลัว
ความตายอยู่แค่เอื้อม มันคือการใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิตสิบหกปีของเธอ
“ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีก” เธอบอกผู้ฝึกสอนของเธอ นากาคะโบรอส เทพีอสรพิษนั้นชื่นชอบผู้ที่เติบโตและเปลี่ยนแปลง เธอจะไม่สนใจใยดีผู้ที่ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตนให้ต่างไปหลังโดนคลื่นซัดโถมเข้าใส่
และทุกวันนี้ บางสิ่งในถนนของบิลจ์วอเตอร์ก็คอยเฝ้าเตือนใจอิเลาอิถึงภาพปูที่สั่นกลัวเหล่านั้น
ช่วงเวลาบ่ายที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือหัวและแผดเผาเช่นนี้ โดยปกติแล้วถนนหนทางในเมืองจะคับคั่งไปด้วยกะลาสีที่กำลังเฉลิมฉลองก่อนออกเดินทางหรือนักล่าสัตว์ใต้ท้องทะเลที่กำลังใช้จ่ายเงินทองที่ได้มา แต่ในวันนี้ ถนนแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยภาพของผู้คนที่ต่างทำธุระของตนอย่างหงอยเหงาและเงียบงัน
บิลจ์วอเตอร์นั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสงครามกลางเมือง แต่การต่อสู้นี้ไม่ได้เกี่ยวกับเจตจำนงอันยิ่งใหญ่หรือความทะเยอทะยานใด มันยังคงเป็นสงครามบ้าคลั่งระหว่างซาร่าห์ ฟอร์จูนและแก๊งแพลงค์ สงครามเดิมที่พวกเขาต่อสู้กันมามากกว่าร้อยครั้งไม่ยอมเลิกรา แก๊งแพลงค์ต้องการบัลลังก์ของเขาคืน ซาร่าห์ต้องการให้เขาตาย โดยมีเมืองทั้งเมืองที่หยุดชะงักอยู่ระหว่างกลาง ต่างคนต่างเชื่อว่าชัยชนะจะนำพาสิ่งที่พวกเขาเสียไปกลับคืน บางทีอาจจะเป็นเกียรติบางอย่าง ความยุติธรรมเพื่อคนที่ตายไป หรือไม่ก็บางสิ่งที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของความพ่ายแพ้และความล้มเหลว
มันคงจะง่ายกว่านี้หากข้าไม่ได้สนใจใยดีพวกเขา อิเลาอิคิดในใจ แต่ซาร่าห์นั้นเป็นเพื่อนสนิทของเธอ และแก๊งแพลงค์ก็เคยเป็นคนรักเก่า ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่คนสองคนจะติดหล่มอยู่ในอดีตได้เช่นนี้ และต้องสูญเสียศักยภาพที่พวกเขามีในตัวไป
อิเลาอิมองลงไปยังกล่องล็อกในมือ “และนี่ก็เป็นความผิดของเจ้าด้วย” เธอพึมพำ
กล่องใบนั้นส่งเสียงกรีดร้องกลับใส่เธอ
เสียงกรีดร้องของมันนั้นทั้งเงียบเชียบและแผ่วเบาเสียจนถ้าไม่เงี่ยหูฟังใกล้ ๆ ก็คงไม่ได้ยิน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อิเลาอิเพ่งสมาธิไปที่มัน ตัวตนอันน่าเกลียดน่าชังก็จะเริ่มตะเกียดตะกายคืบคลานภายในจิตใจของเธอ
ตัวตนที่อยู่ในกล่อง เสียงกรีดร้องที่คอยเฝ้าสาปส่งถ้อยคำทรมานภายในใจอิเลาอิอยู่ทุกชั่วคืนวันคือต้นเหตุของทุกสิ่ง
เขานี่แหละคือต้นเหตุแห่งเงามืดในใจซาร่าห์
ทันใดนั้น ลูกเรือของซาร่าห์ก็ผ่านทางมา เข็มขัดของพวกเขาทุกคนประดับไปด้วยมีดสั้นและปืนพก สนับมือทุกอันต่างประดับประดาไปด้วยทองเหลือง กลิ่นของเลือด หยาดเหงื่อ และผงดินปืนคละคลุ้งทั่วร่างของพวกเขา สื่อให้เห็นว่าศึกนี้นั้นยากเข็ญนัก
และที่มาพร้อมพวกเขาก็คือซาร่าห์ ฟอร์จูน เธอดูเหนื่อยล้า ชายเสื้อคลุมกัปตันหรูหราด้านขวาของเธอโชกไปด้วยเลือด เธอเดินไหล่ตกมากับปลายหมวกที่ดูอ่อนปวกเปียก ดั่งกับว่ามีฝนที่มีแต่เธอคนเดียวสัมผัสได้อยู่เหนือหัว
“เฮ้ อิเลาอิ” ซาร่าห์เรียก เสียงของเธอเรียบเฉยแต่แหลมหู “มาจบเรื่องนี้กัน”
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” อิเลาอิถาม “สภาพดูไม่ได้เลยนะ”
“ข้าไล่ตามแก๊งแพลงค์มาหลายสัปดาห์แล้ว” ซาร่าห์ชี้ไปที่กล่องล็อกที่กำลังกรีดร้องอย่างแผ่วเบา “และเจ้าสิ่งนั้นเองก็ยังอยู่บนเกาะ มาเถอะ มาจบเรื่องนี้กัน”
อิเลาอิเดินนำพวกเขาทั้งสองเข้าไปยังร้านค้าวัตถุโบราณใกล้เคียง ในขณะที่ลูกเรือของซาร่าห์คอยเฝ้าระวังอยู่ภายนอกพร้อมปืนในมือ
ตาแว่นขยายของเจ้าของร้านส่องประกายทันทีเมื่อเห็นพวกเขา “อิเลาอิ!” เขาเรียก “ไม่ได้เจอกันนานเลย!”
จอร์เดน ไอรักซ์ คือสหายสูงเพรียวผู้มีเข่าและศอกที่เก้กังไปทุกทิศทาง นอกจากนั้นเขายังเป็นพ่อค้าวัตถุโบราณเพียงคนเดียวที่มีทั้งเชื้อสายเพแลงจีและบูฮ์รูในตัว อิเลาอิจึงมักจะมาหาเขาเพื่อให้ช่วยตรวจสอบวัตถุโบราณที่เธอไม่รู้จัก
“ข้ามีปริศนามาฝาก จอร์เดน” อิเลาอิวางกล่องล็อกดังตึงลงบนโต๊ะเคาน์เตอร์
“สองอย่างเลยหรอ” เขากล่าวขณะมองไปที่ซาร่าห์ “เพราะกัปตันฟอร์จูนอุตส่าห์มาเยี่ยมร้านเล็ก ๆ ของข้า!”
“อย่าคิดอะไรซี้ซั้ว” ซาร่าห์ขู่ “มาทำให้มันจบ ๆ ไป”
ชั่ววินาทีที่กุญแจของอิเลาอิถูกไขลงบนกล่องล็อก ซาร่าห์ก็พลันสะดุ้ง เพราะแสงเลือนลางสีน้ำทะเลพลันปรากฏพาดผ่านไปทั่วกำแพงร้าน
ภายในกล่องนั้นคือเครื่องราง หินโค้งสามก้อนที่ถูกสร้างในรูปแบบชาวบูฮ์รูและร้อยต่อกันด้วยเส้นด้ายบาง ๆ พวกมันส่องแสงสว่างไสวไปด้วยแสงของจิตวิญญาณภายใน
“โอ้ เอาเรื่องเลยนะ” แม้แต่จอร์เดนก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง “ให้ตายต่อเทพี นั่นใช่...?”
อิเลาอิพยักหน้า “วิเอโก้แห่งคามาวอร์”
เพิ่งผ่านมาแค่สัปดาห์เดียวหลังจากที่วิญญาณราชาโบราณคลั่งพยายามที่จะเปลี่ยนบิลจ์วอเตอร์ให้กลายเป็นปล่องควันหมอกทมิฬ ตอนนี้ทั้งเมืองรู้จักชื่อของเขา ทั้งยังคอยสาปส่งความทรงจำของเขา และหากเขาหลุดออกมาจากเครื่องรางนี้ได้ เขาก็จะทำมันอีกครั้ง
“มันเป็นแค่หนทางชั่วคราว” ซาร่าห์กล่าวพร้อมหัวเราะออกมาบาง ๆ “เราไม่รู้วิธีที่จะจัดการเขาให้สิ้นซาก และก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้เขาหลุดออกมาจากสิ่งนั้นได้”
อิเลาอิพยักหน้า “นักประวัติศาสตร์ของเรากล่าวกันว่าหินนี้สร้างขึ้นมาจากอำพันอสรพิษ... แต่เราไม่รู้ว่าการทำลายมันจะเป็นการปลดปล่อยดวงวิญญาณหรือสังหารมันกันแน่”
“น้ำตาแห่งเทพี? ข้าไม่ตกใจเลย” จอร์เดนเอ่ยโดยใช้คำเรียกอำพันอสรพิษของชาวบูฮ์รู “มันหายากมาก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะเลือกทำลายมันทิ้ง” เขาก้มเข้าไปใกล้และปรับแว่นขยายเล็กน้อย “ช่างฝีมือชาวบูฮ์รูเป็นคนสร้างสิ่งนี้ รูปแบบของผู้คนของเรานั้นเด่นชัดมาก แต่มีสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ด้านหลัง... มันมาจากไหนกัน?”
อิเลาอิหัวเราะ “เกาะแห่งเงาไงล่ะ ผู้คนของเราเคยทำการศึกษาร่วมกับนักวิชาการที่นั่น ในช่วงก่อนที่เกาะแห่งนั้นจะกลายเป็นแบบปัจจุบัน” หากวิเอโก้หนีไปได้
เขาก็จะพยายามเปลี่ยนบิลจ์วอเตอร์ให้กลายเป็นสุสานแบบนั้นเช่นกัน
“ขอข้าตรวจสอบอะไรสักครู่” จอร์เดนกระโดดออกไปจากม้านั่งของเขาและวิ่งเข้าไปด้านหลังร้าน
หลังปล่อยให้ความเงียบทิ่มแทงอยู่ช่วงวินาที... ซาร่าห์ก็หันไปหาอิเลาอิ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร” เธอกัดฟันพูด “ดังนั้นอย่า”
“ข้าไม่ได้จะพูดอะไร” หลังจากทะเลาะกันครั้งสุดท้าย มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคอยพร่ำบอกซาร่าห์ด้วยความจริงที่เธอไม่คิดฟัง “ข้าจะไม่พูดถึงถึงการไล่ล่าแก๊งแพลงค์แสนไร้ประโยชน์ของเจ้า หรือผลกระทบของมันต่อเมืองนี้ จริง ๆ ข้าตั้งใจจะปล่อยให้บรรยากาศมันเงียบ ๆ กระอักกระอ่วนต่อไปด้วยซ้ำ”
ซาร่าห์ทำหน้านิ่ว “ข้าเพิ่งผ่านสัปดาห์แสนห่วยมา อย่าทำให้มันแย่ลงเลย”
พวกเขาเงียบไม่พูดอะไรอีกครั้งหลังจากจอร์เดนพุ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมม้วนกระดาษลงอักขระประหลาดที่อิเลาอิไม่รู้จัก และก็ยังมี... รูปหอคอยอยู่บนนั้น?
“ดูสิ” จอร์เดนชี้ไปที่สัญลักษณ์เดียวกันที่ถูกสลักอยู่ด้านหลังของเครื่องราง “สัญลักษณ์ของผู้สร้างมัน ภราดรแห่งอาทิตย์อัสดง”
“มืดหม่นจัง” ซาร่าห์เอ่ย “ไม่เคยได้ยินชื่อเลย”
“หนึ่งในภาคีเคร่งศาสนาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาสาบสูญไปนานแล้ว”
“ให้ตาย” ซาร่าห์ส่ายหัว “งั้นก็เจอทางตันสินะ”
จอร์เดนพลันนึกขึ้นได้ “เดี๋ยวนะ ข้าลืมไป มันมีนักพรตเสียสติคนหนึ่งที่อ้างว่าเขาคือหนึ่งในพวกนั้น แต่... เจ้าก็รู้ว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมานานเกินไปนั้นเป็นยังไง”
ดวงวิญญาณอันบิดเบี้ยวของเหล่าผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เจ้าบ้านที่ดีนัก วันเวลากว่าพันปีที่ใช้ไปภายใต้เงาหมอกทมิฬได้เปลี่ยนแปลงพวกเขาส่วนใหญ่ให้กลายเป็นสัตว์ร้าย ภูติผี วิญญาณหลอน และมิสต์วอคเกอร์ที่สะท้อนมองเห็นแต่ภาพความอ่อนแอของการมีชีวิต มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เลือกจะอาศัยอยู่ร่วมกับวิญญาณเหล่านั้นล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเกินธรรมดาหรือไม่ก็แปลกประหลาดเกินคน บางคนก็บูชาความตายและโรคร้าย บางคนก็นับถือกระทั่งแมงมุมด้วยเหตุผลดลใจอะไรก็ตาม
ทว่าอิเลาอิยังไม่เคยพบเจอผู้อยู่อาศัยในเกาะแห่งเงาผู้ใดที่เธอไม่สามารถบดขยี้ให้แบนเป็นดาวทะเลด้วยรูปปั้นเทพีของเธอ “สิ่งมีชีวิตใดก็ไม่อาจทำให้ข้ากลัว” อิเลาอิกล่าว “เมื่อไม่นานนี้ เราเพิ่งลงมือสังหารสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังที่สุดในเกาะอย่างเทรช เมื่อเทียบกับเขาแล้ว การรับมือกับนักพรตผู้นี้จะเป็นงานง่าย และเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องรางนี้”
พวกเขาจ่ายเงินให้จอร์เดนและก้าวออกมายังถนน “ข้าไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะพาเจ้ากลับไปยังเกาะแห่งเงา” ซาร่าห์บ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงแกมขอโทษ
อิเลาอิพยักหน้า ก่อนจะทำการกักขังวิเอโก้ลงในเครื่องรางนี้ได้สำเร็จ พวกเขาได้ไล่ตามและเข้าต่อสู้กับเขาบนเกาะแห่งเงา การพักแรมในวิหารที่ล่มสลายและแบ่งปันอาหารรอบกองไฟนั้นช่างเป็นภาพที่สนุกสนานเมื่อมีสหายอยู่ด้วย... แต่การต้องกลับไปอีกครั้งคนเดียว ก็คงทำให้หดหู่น่าดู
“เจ้าต้องใช้เรือ มีกัปตันคนหนึ่งที่ติดค้างข้าอยู่ แมทธิโอ รูเบน เขารู้เส้นทางปลอดภัยไปยังเกาะแห่งเงา แต่อย่าให้เขารู้เรื่องเครื่องรางเชียวล่ะ”
“เหลือเพียงไม่กี่คนในเมืองนี้ที่เราพอจะเชื่อใจได้สินะ” อิเลาอิเห็นด้วย
ทันใดนั้น หน้าของซาร่าห์ก็แดงก่ำพร้อมเลิกคิ้วขมึงตึง
อ้า ข้าพูดผิดไป อิเลาอิเพิ่งจะรู้ตัว เธอไม่ยอมเชื่อใจข้า เพราะว่าข้าไม่ยอมต่อสู้ในสงครามไร้ประโยชน์ระหว่างเธอกับแก๊งแพลงค์
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่” อิเลาอิเอ่ย เธอพยายามหาคำพูดใหม่ ๆ เพื่อพูดสิ่งที่ซาร่าห์เอาแต่ดื้อรั้นปฏิเสธ “แต่มิตรภาพสำหรับข้านั้นมาพร้อมกับ... ความท้าทาย และความเปลี่ยนแปลง”
“ข้าได้ยินทุก ๆ อย่างที่ราชานั่นพูดจากภายในเครื่องราง” ซาร่าห์โพล่งออกมา “ข้าได้บอกเจ้าไหม? ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเอาแต่พูดถึง... แม่ของข้า” เสียงของเธอเริ่มสั่น และสีหน้าของเธอก็เริ่มขุ่นมัว “ข้าได้ยินเสียงกระซิบในกล่องนั่นลอยไปไกลถึงอีกฟากของเมือง”
ให้ตายต่อเทพี นั่นคือสิ่งที่เธอต้องแบกรับ
อิเลาอิเข้าโอบกอดเพื่อนของเธอ เธอต้องทำสิ่งนี้ และเธอก็ทำอย่างไม่ลังเลโดยไม่สนว่าซาร่าห์จะรู้สึกอย่างไร
ในตอนแรกซาร่าห์ก็อดกลั้นไว้ แต่สุดท้ายเธอก็โอบกอดสหายของเธอคืน น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาจากตาของเธอ “เฮอะ” เธอถอนหายใจ “โอเค ยอมก็ได้”
“เจ้าควรเป็นมากกว่านี้” อิเลาอิกล่าว “เจ้าควรได้สิ่งที่ดีกว่านี้” อิเลาอิเชื่ออย่างนั้น เธอไม่เคยเชื่อสนิทใจเท่านี้มาก่อน แต่ไม่ว่าเธอจะพูดไปกี่ครั้ง ซาร่าห์ก็ไม่เคยเข้าใจ
“สิ่งที่ดีกว่านี้?” ซาร่าห์ยกมือขึ้นปาดน้ำตา “บอกเรื่องนั้นกับแก๊งแพลงค์สิ”
หนี้ที่รูเบนติดซาร่าห์ไว้ต้องก้อนใหญ่มากแน่ เพราะเขารีบแจ้นเตรียมเรือให้อย่างไว และตอนนี้เรือเทรนแรทก็พร้อมออกเรือทันทีในวันถัดไป
เมื่ออิเลาอิไปถึง เรือก็คับคั่งไปด้วยเหล่ากะลาสีที่กำลังเตรียมทำให้เรือพร้อมออกทะเลอยู่ก่อนแล้ว รูเบนคอยออกคำสั่งอยู่บนดาดฟ้าควบคุม เขาเป็นคนมีอายุ ตัวสูงเพรียว ศอกแหลมเฟี้ยว พร้อมผมหยิกสีส้มที่กระเซอะกระเซิงจากสายลม
ข้าหักเขาเป็นสองท่อนได้เลย อิเลาอิคิด สำหรับเธอมีผู้คนอยู่เพียงสองประเภท คนที่เธอหักเป็นสองท่อนได้ และคนที่เธอหักไม่ได้ ซึ่งนั่นทำให้การท่องไปในโลกนั้นง่ายขึ้นมาก
เขาโบกมือให้เธอขึ้นไปยังดาดฟ้าควบคุม “ข้ารู้จักเจ้า” เขาเรียก “เจ้าคือราชินีแห่งบูฮ์รู”
“ไม่มีวัน” อิเลาอิแย้ง “ข้าคือผู้กุมสัจธรรม เป็นนักบวช” ต้องเป็นพวกน่ารำคาญแน่ เธอคิด
“เอาล่ะ” รูเบนยักไหล่ “วันนี้เรือเละมาก แต่นี่แหละคือบริการที่เจ้าจะได้เมื่อให้เวลาข้าแค่สิบสองชั่วโมง” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจก่อนที่จะยื่นมือมาขอจับมือ “มีห้องว่างอยู่ด้านล่าง”
“เราจะออกเรือวันนี้เลยไหม?” อิเลาอิถาม
“ควรเป็นงั้น เพราะไม่งั้นซาร่าห์ ฟอร์จูนคงได้เอาข้าขึ้นเป็นหนึ่งในโชว์ประหารริมท่าของเธอแน่”
ทางเดินภายในเรือนั้นคับแคบมากจนอิเลาอิแทบจะเอารูปปั้นของเธอลอดผ่านบันไดลงไปยังด้านใต้ท้องเรือไม่ได้ เพราะลูกแก้วเหล็กทะเลขนาดยักษ์นั้นใหญ่กว่ากล้ามไหล่ทั้งสองข้างของอิเลาอิเสียอีก เพดานข้างใต้นี้ต่ำเสียจนเธอไม่อาจยกมันพาดบ่าได้ และทางเดินก็แคบเกินไปที่จะถือไว้ข้างกาย เธอจึงต้องนำมันมารักษาสมดุลไว้กลางลำตัวพร้อมหลบหลีกปืนใหญ่ที่วางอยู่ประปรายระหว่างทาง
“ขอโทษที” เธอบ่นพึมพำก่อนเบียดตัวผ่านกลุ่มกะลาสีผู้ถือไม้กวาดและถังน้ำในมือ ในขณะที่เธอผ่านไป เธอก็ได้ยินเสียงกระซิบก่นด่าของพวกเขาตามมา กะลาสี จากประสบการณ์ของอิเลาอิ ล้วนเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว กล้าเสี่ยงกับทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นแหละชาวเพแลงจีที่เธอโปรดปราน แต่ลูกเรือที่นี้กลับเฉื่อยชา ไอความกลัวของพวกเขาคละคลุ้งไปทั่วทั้งเรือไม่ต่างจากกลิ่นเกลือทะเลและเชือกเน่า ๆ ที่อยู่รอบกาย
บรรยากาศแสนอมทุกข์ของบิลจ์วอเตอร์ก็อยู่ที่นี่ด้วย
เมื่อสมอถูกปลดและหัวเรือหันหน้าออกพร้อมปะทะสายลม อิเลาอิก็ขึ้นไปยังดาดฟ้าควบคุมด้านบนเพื่อพูดคุยกับรูเบนอีกครั้ง และไม่นานภาพหลังคาเรือนภายในเมืองก็ถูกบดบังจนมิดด้วยเกลียวคลื่นและฝูงนกบนฟากฟ้า
“ปล่อยบิลจ์วอเตอร์ไว้เบื้องหลัง และปัญหาทั้งหมดของข้าก็จะหายไป” รูเบนหัวเราะ
“สำหรับเจ้าบิลจ์วอเตอร์น่ากลัวกว่าเกาะแห่งเงาอีกงั้นเหรอ?” ความคิดนั้นทำให้อิเลาอิยิ้มออกมา “ถึงจะเละเทะแบบนั้น แต่เกาะแห่งเงานั้นแย่กว่าเป็นไหน ๆ”
“เฮ้ อย่างน้อยวิญญาณที่อยู่ที่นั่นก็ไม่เล็งหัวข้าอยู่นะ” รูเบนพูดต่อ “ในทางกลับกัน ราชินีไร้ความกลัวของเราน่ะ... แบบว่า ระหว่างข้ากับเจ้า ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”
อิเลาอิขมวดคิ้วสงสัย “เจ้าทำอะไร?”
รูเบนหัวเราะกระอักกระอ่วน “ข้าติดหนี้นาง เรามีข้อตกลงกัน ว่าถ้าข้าพาเจ้าไปที่นั่นและพากลับมา หนี้ทั้งหมดของข้าจะถูกโละทิ้ง”
การส่งใครบางคนไปยังเกาะแห่งเงานั้นดูเป็นวิธีที่ไม่เข้าท่าสำหรับการชำระหนี้ เพราะโอกาสที่เจ้าจะเสียลูกหนี้ไปจากภูติผีและฝูงแมงมุมนั้นสูงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ “เจ้าคงติดหนี้ก้อนใหญ่สินะ”
“ใช่เลย ข้าเคยพยายามจะโค่นนาง”
“อะไรนะ?!”
“ฟังก่อน ข้าไม่ได้ทำงานให้แก๊งแพลงค์” รูเบนนำมือขึ้นมาถูหน้า “ข้าแค่ไม่พอใจค่าส่วยสินค้าใหม่ก็เท่านั้น พอดีกับที่ข้าได้รู้จักเพื่อนใหม่... มันเป็นความคิดของพวกเขา”
นั่นไม่ใช่คำพูดของชายที่กล้าเผชิญหน้ากับโชคชะตาหรือรับผิดชอบการกระทำของตน รูเบนดูเป็นคนที่มักจะคล้อยไปตามการกระทำของคนอื่นอยู่ร่ำไป
“กัปตันฟอร์จูนไม่ให้ค่าคำแก้ตัวแบบนั้นหรอก” อิเลาอิกล่าว “ทุกวันนี้ เธอแก้ปัญหาแบบเจ้าด้วยลูกปืน”
“ใช่เลย” เสียงของเขาเบาลง “ลูกเรือน่ะ... ไม่ค่อยพอใจหรอกนะ เราต้องเสียสัญญาว่าจ้างไปเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงไปหาฟอร์จูนและบอกกับเธอว่าข้ามีประโยชน์! ใช้งานข้าสิ แต่ก่อนพ่อข้าและข้าเคยรับจ้างนำทางไปยังเกาะแห่งเงา ข้ารู้จักเส้นทางลับที่ไม่มีใครรู้”
“การถูกใช้ประโยชน์จากคนอื่นก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกกักขังวิญญาณ” อิเลาอิกล่าว
“ก็นะ ก็ยังดีกว่าถูกประหารล่ะ! แบบว่า เธอเป็นเพื่อนกับฟอร์จูนใช่ไหม?” เขาถาม “การเป็นศัตรูกับนางน่ะมันเหนื่อยจริงนะ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นตาแก่น่าสงสาร แต่ข้าอาจจะพอเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ได้บ้าง”
อิเลาอิพิจารณามองเขาและก็คิดได้อย่างเดียว ไม่มีทางหรอก “ชีวิตของเจ้าถูกปกครองด้วยการหยุดนิ่ง” เธอเอ่ย “อิสรภาพที่เจ้าตามหาไม่สามารถได้มาหากปราศจากการเคลื่อนไหว เจ้าต้องการการชี้นำทางจิตวิญญาณ มิใช่... การคุยหยอกล้อเช่นนี้”
รูเบนหัวเราะ “แบบนั้นข้าก็เอา”
อิเลาอิถอนหายใจ แม้แต่มนุษย์ที่หยุดนิ่งไม่ไหวติงที่สุดก็ยังสามารถซุกซ่อนเกลียวคลื่นจิตวิญญาณที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ ทุกคนควรได้รับโอกาสในการพิสูจน์คุณค่าของตน
และเธอก็รู้ ว่าหากชายผู้นี้เปลี่ยนได้ ซาร่าห์ก็ต้องเปลี่ยนได้เช่นกัน
“บางทีเราอาจจะคุยกันได้” อิเลาอิกล่าว “หากเรามีเวลาเหลือจากการเดินทาง”
รูเบนชื่นชอบการพูดคุย
เขาเล่าเรื่องพ่อของเขาให้อิเลาอิฟัง นักเดินเรือรับจ้างที่คอยประจำอยู่รอบผับที่คับคั่งที่สุดในบิลจ์วอเตอร์ “คอยเนียนดื่มฟรีกับเหล่ากัปตันและหางานทำ” เขาไม่ได้อยู่ข้างกายตอนที่รูเบนต้องการมากที่สุด แต่อย่างน้อยเขาก็กำลังสร้างตำนาน สร้างเส้นทางไปสู่เกาะแห่งเงา รูเบนเชื่ออย่างนั้น
“เดี๋ยวเจ้าก็ได้เห็น มันน่าทึ่งมาก เส้นทางปลอดภัยเดียวเข้าสู่พื้นที่เกาะ ข้าไม่เคยเห็นภูติผีอยู่ที่ชายหาดนั้นเลย”
“ช่างน่าทึ่ง และเจ้าไปรู้มันมาจากไหน? พ่อเจ้าแสดงให้ดูงั้นเหรอ?”
รูเบนหัวเราะ “ไม่มีทาง! เขามอบแผนที่ให้ข้า เตะข้าลงเรือเล็ก และก็ปล่อยให้ข้าเข้าไปตามลำพัง ล่องลอยคนเดียวในหมอกทมิฬ โดยที่เขารออย่างปลอดภัยอยู่บนเรือ!”
“ต้องใช้ความกล้าขั้นสูงเลยนะ” อิเลาอิกล่าว “ชายใดก็ตามที่สามารถหาหนทางไปยังเกาะแห่งเงาได้ด้วยตัวคนเดียวถือว่ามีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง” เขาก็เหมือนซาร่าห์ อิเลาอิคิด มีความยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในตัว ทว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่จะหามันพบ
ในวันสุดท้ายของการเดินทาง แสงอาทิตย์ก็เริ่มเลือนเหลือน้อยลงจนแทบพึ่งไม่ได้อีกต่อไป หลังดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือหัวในทุกวัน “ยามเย็น” ก่อนเวลาก็มักจะพาเงามืดเข้าบดบังและกลบกลืนแสงของมันให้เหลือเพียงม่านสีเทา นี่คือฝีมือของหมอกทมิฬ หรืออย่างน้อยก็ปลายขอบของมัน การรักษาการณ์เริ่มเข้มงวดขึ้น เพราะม่านของหมอกนั้นคือเส้นทางชั้นดีให้กับวิญญาณร้ายทุกรูปแบบ
อิเลาอินั้นให้ค่าความศรัทธาแก่กะลาสีที่เคยเหยียบเท้าลงบนเกาะแห่งเงามาเป็นอันดับแรกเสมอ และเมื่อพวกเขาได้ยินบทสวดต่อการหยุดนิ่งของเธอ พวกเขาก็รู้ซึ้งถึงสิ่งที่เธอจะสื่อได้ทันที ชายหาดสีดำ ต้นไม้ที่เน่าเปื่อยบิดเบี้ยวไม่เหลือใบ อนุสรณ์สถานหินดำที่ถูกฝังกลบโดยเศกซากโบราณและถูกกัดกร่อนจากน้ำทะเล
ในขณะที่เกาะผีสิงปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า รูเบนก็เริ่มยิงมุกน่ารำคาญไม่หยุดหย่อน เขาตั้งใจหยอกล้อไม่ให้เหล่ากะลาสีเครียดเกินไป บูฮ์รูมีคำเรียกคนแบบเขาว่าพวกหลบเลี่ยงคลื่น พวกที่กระโดดไปกระโดดมาบนหาดทราย พยายามเคลื่อนไหวทุกวิถีทางเพื่อให้เท้าไม่เปียกน้ำ ก้าวกระโดดไปเรื่อยเพื่อหลบคลื่นที่ซัดเข้ามา
และเมื่อภาพหอคอยเก่าบนยอดเขาเหนือเกาะโผล่พ้นสายตา รูเบนก็แปรเปลี่ยนพลังเหลือล้นของเขาเป็นการลงมือ เขาหายวับไปในห้องเก็บของ จากนั้นก็กลับออกมาพร้อมม้วนกระดาษสลักตัวอักษรและสัญลักษณ์เป็นปึกในมือ และเมื่อเขาเข้าประจำตำแหน่งแทนที่ต้นหนที่คันท้ายเรือ เขาก็เหมือนคนจะอาเจียนออกมาได้ทุกเวลา
“ถึงเวลาพิสูจน์ตัวเองแล้ว” เขาบอกอิเลาอิ จากนั้นก็หันไปหาลูกเรือและตะโกนสั่ง “ลดความเร็วครึ่งนึง!”
ไม่นานเรือก็เริ่มเคลื่อนตัวผิดธรรมชาติตรงสู่ชายฝั่งโดยมีรูเบนเป็นคนควบคุมหางเสือ ร่างผอมแห้งคอยหักเรือไปมาโดยใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี พื้นไม้บนเรือเริ่มส่งเสียงสะเทือน ปลายหินแหลมใต้น้ำพาดผ่านลำเรือไปเพียงแค่ปลายนิ้ว อิเลาอิเหลือบมองไปยังกระดาษขีดเขียนของรูเบน ไม่แปลกใจเลยที่ซาร่าห์เก็บเขาเอาไว้ เพราะไม่ว่าเขาจะมีความรู้อะไร
เขาก็ไม่มีปัญญาถ่ายทอดมันได้แน่นอน
พวกเขามาหยุดเรือที่อ่าวหินเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง กองหินที่พังทลายช่วยซ่อนมันจากทะเลและหน้าผากว้างก็ช่วยซ่อนตัวเรือและกะลาสีจากชายฝั่ง เกิดเป็นท่าเรือไร้ภัยที่หาได้ยากยิ่งในที่แห่งนี้... และก็ช่างโชคดีที่มันอยู่ไม่ไกลจากวิหารนัก
รูเบนซบตัวลงบนหางเสืออย่างเหนื่อยล้า “และนั่นแหละคือวิธีหาเงินของข้า” เขากล่าว “บอกกัปตันฟอร์จูนถึงผลงานของข้าให้ด้วยนะ ได้ไหม?”
กะลาสีประมาณยี่สิบคนเกินครึ่งจากจำนวนทั้งหมดขึ้นฝั่งไปเพื่อทำภารกิจ การเดินทางไปวิหารต้องใช้เวลาเดินเท้าหลายชั่วโมง แต่อิเลาอินั้นนำไปเพียงรูปปั้นของเธอ กระติกน้ำ และกล่องล็อกเท่านั้น
“อยู่ใกล้ ๆ ไว้” เธอบอกลูกเรือ “เทพีของข้ารังเกียจหมอก ดังนั้นหมอกจึงหวาดกลัวรูปปั้นของเธอ เราจะปลอดภัยหากเคลื่อนไหวไปพร้อมกัน”
เหล่ากะลาสีกลายเป็นขบวนตามหลังอิเลาอิและรูเบนเข้าไปในป่า รูปปั้นของอิเลาอิคอยปัดเป่าหมอกและเผยให้เห็นสถาปัตยกรรมและผืนป่าประหลาดซึ่งรายล้อมทั้งสองฝั่ง ทุกอย่างถูกแช่แข็งอยู่ในสภาวะเสื่อมสลาย กิ่งไม้ที่มีอายุโบราณมากกว่าเมืองหลวงแห่งบูฮ์รูเข้าเชือดเฉือนใบหน้าและไหล่ของกะลาสีทั้งหลายในทุกคราที่พวกเขาฝ่าเข้าไป
ไม่นานพวกเขาก็พบตัวเองอยู่ในเศษซากของเมืองเล็ก ๆ กำแพงที่ถล่มลงมาบังคับให้พวกเขาต้องบิดและลอดตัวผ่านพงหญ้าไป และในที่สุดหลังจากผ่านพุ่มหญ้ารวมถึงทางแสนแคบที่ถูกสร้างเป็นโพรงไม้เข้าไป พวกเขาก็หลุดเข้าไปยังที่ที่ครั้งหนึ่งน่าจะเคยเป็นตรอกถนน
รอบข้างมีพุ่มหญ้าและต้นไม้แห้งผากเหมือนกันไปหมด “นี่เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำลังไปทางไหน?” ใครบางคนด้านหลังอิเลาอิตะโกนถาม
เขาคือกะลาสีร่างเล็กกำยำที่มีหนวดเป็นหย่อม ๆ และฟันสีทองอร่าม หักเป็นสองท่อนได้แน่คนนี้
“รู้สิ” อิเลาอิตอบ “เชิญไปตามทางของตัวเองได้เลยถ้าเจ้าต้องการ ข้าช่วยขว้างเจ้าเข้าไปหาหมอกได้ตามที่ต้องการเลยนะ”
“คริสตอฟหรอ? หุบปากไปซะ” รูเบนเอ่ย “ไม่งั้นเจ้าได้เข้าไปอยู่ในเสากระโดงแน่เมื่อเรากลับไป”
คริสตอฟส่งเสียงโมโห “ที่จริงเราควรจะจับเจ้าใส่เข้าไปในเสากระโดงด้วยซ้ำ หลังจากสิ่งที่เจ้าทำกับฟอร์จูน!”
“หยุดทำอะไรไร้สาระได้แล้ว” อิเลาอิสั่ง แต่ตอนนี้ทุกคนได้เข้ามาร่วมวงเสียแล้ว และเสียงกรรโชกของพวกเขาก็ดังก้องไปทั่วผืนป่า
อิเลาอิรู้ดีว่านี่จะล่อศัตรูเข้ามา ภายใต้เสียงตะโกนเหล่านั้น เธอพอได้ยินเสียงอันเงียบเชียบ ดั่งเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำบนดิน
ทันใดนั้นพุ่มไม้ด้านข้างก็ถูกกระชากออก กิ่งไม้รอบกายเริ่มขีดเขียนกันและกันดั่งเสียงคมมีดเฉือนกระดูกดำ เถาวัลย์รูปกรงเล็บเริ่มกลับกลายเป็นรูปอุ้งมือ รูปหน้าปรากฏขึ้นบนทุกพุ่มและต้นไม้รอบกาย หน้าที่เหี่ยวเฉาไม่ต่างอะไรจากศพมนุษย์
เสียงโต้แย้งกลับกลายเป็นเสียงกรีดร้อง และไม่นานโพรงหญ้าก็ถูกกระแทกปิดลง ตอนนี้ไม่เหลือทางเดินอีกต่อไป เหล่ากะลาสีทั้งหลายต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว เธอเห็นคนหนึ่งพุ่งตัวเข้าไปในป่า แต่แล้วก็ถูกอัดกระแทกพื้นโดยกิ่งไม้ยักษ์ ต้นไม้ต้นนั้นเขยิบเข้าใกล้ร่างของเขา บีบรัดปิดเสียงกรีดร้องของเขาจนเงียบลง
อิเลาอิเหลือบเห็นแผ่นหลังของรูเบนที่วิ่งหนีเข้าไปในผืนป่า ทิ้งกระดาษของเขาให้กระจายหล่นไว้ตามทาง พวกขี้ขลาด เธอคิดในใจ จากนั้นเหล่าภูติผีก็จับจ้องมาที่เธอ
กะลาสีที่อยู่ใกล้อิเลาอิที่สุดตัดสินใจสู้กลับ แต่ดาบของพวกเขานั้นไร้ผล มันเหมือนกับการแทงใส่พุ่มหญ้า ภูติผีเหล่านั้นยังคงรุกหน้าฝ่าการฟาดฟันและจากนั้นก็แทงเข้าที่ร่างของกะลาสีด้วยแขนกิ่งไม้แหลมคม
เมื่อภูติผีเหล่านั้นกระโจนเข้าหาอิเลาอิ เธอก็เหวี่ยงรูปปั้นของเธออย่างแรง การโจมตีของเธอกระแทกถูกเป้าหมายและทำให้ร่างของมันส่องแสงสว่างและกระจายแตกเป็นชิ้น เมื่ออีกตัวพุ่งเข้ามา เธอก็ต่อยมันอย่างแรงจนมันหักครึ่งเหมือนเสารั้วผุพัง
ให้ตายต่อเทพี สะใจเป็นบ้า!
อวตาร์แห่งเทพีนั้นเชี่ยวชาญในด้านพละกำลัง “นากาคะโบรอส” เธอตะโกน “ปกป้องเราด้วย!”
เธอยกรูปปั้นขึ้นเหนือหัวและกระแทกมันลงสู่พื้นโคลน เหล่ากะลาสีหยุดชะงัก แต่เหล่าภูติผีกลับหนีถอย พวกมันถูกปัดให้กระเด็นโดยแสงสีเขียวเรืองรองที่รูปปั้นแผ่ออกมา
เพแลงจีมักถามเธอเสมอ หนวดพวกนั้นมาจากไหน? และเธอก็จะบอกพวกเขาว่า มันไม่สำคัญหรอก เทพีนั้นอยู่ในทุกที่ ในทุกอย่างที่เคลื่อนไหว เธอสามารถไปได้ทุกที่ และเป็นได้ทุกสิ่ง เพราะทุกสิ่งล้วนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
ยกตัวอย่างเช่นภูตผีเหล่านี้ พวกมันสามารถแปลงแตกตัวออกเป็นภูติผีอีกหลายตน
กำแพงปกปักที่สร้างมาจากหนวดหมึกผุดขึ้นมาจากพื้นดินและเริ่มบรรเลงร่างของเหล่าภูติผีให้กลายเป็นเศษซาก อิเลาอิเองก็ช่วยเช่นกัน พุ่มไม้และต้นไม้แตกกระเจิง ศีรษะที่เคยสร้างจากรากไม้พันกันกระเด็นหลุดกลิ้งไปในพื้นโคลนไม่ต่างจากลูกโบว์ลิ่ง เธอพลันมองเห็นภูติผีตนหนึ่งถูกกระแทกขึ้นไปบนฟ้า แขนทั้งสองข้างฉีกออกเหมือนกับนกกระพือปีกบิน
และเมื่อภูติผีที่อยู่ใกล้ที่สุดถูกกำจัดไม่เหลือชิ้นดี อิเลาอิก็ยกรูปปั้นของเธอขึ้นประทับบ่า จากนั้นหนวดหมึกเหล่านั้นก็สลายไป และเส้นทางก็พลันเงียบลง ไม่มีสัญญาณของเหล่ากะลาสีที่วิ่งหนีไปหรือแม้แต่เสียงกรีดร้องใด แม้แต่ศพคนตายก็หายไป สลายไป หรือไม่ก็ถูกกลบฝังไปแล้วภายใต้รากไม้นั้น
“ตั้งสติไว้” เธอบอกกลุ่มที่ยังอยู่ “เหลือใครอยู่บ้าง?”
ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดคน คริสตอฟก็เป็นหนึ่งในนั้น “เราควรไปตามหากัปตันหรือเปล่า?” เขาถามแบบไม่ตั้งใจเท่าไหร่ “เราออกเรือไม่ได้ถ้าไม่มีรูเบน”
อิเลาอิเห็นกองแผนที่ของรูเบนตกอยู่ที่พื้นจุ่มโชกอยู่ในโคลน เธอหยิบมันขึ้นมาและตรวจสอบดูแผนที่พวกนั้น ภายใต้เศษโคลน เส้นทางไปยังวิหารยังพอเห็นได้เลือนลาง
บนเรือนั้น เขาดูพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปสู่ความขี้ขลาด ช่างเป็นดวงจิตที่หยุดนิ่ง ทั้งถูกเขวี้ยงโยนไปมาโดยความปรารถนาของผู้อื่น ข้าก็คงทำได้แค่ช่วยเขาเพื่อใช้งาน อย่างที่ซาร่าห์และคนอื่นทำ เธอคิด
และการออกตามหาเขาด้วยกะลาสีที่ทั้งบาดเจ็บและเหนื่อยล้าเจ็ดคนเนี่ยนะ? พวกเขาได้ตายแน่ คริสตอฟและลูกเรือคนอื่น ๆ ไม่ควรได้รับโชคชะตานั้น ผู้ที่มีชีวิตยังสามารถเปลี่ยนแปลงและเติบโต เธอเตือนตัวเอง แต่คนที่ตายไปแล้วไม่มีโอกาสนั้น
เธอตัดสินใจแน่วแน่ “เราต้องไปต่อ” อิเลาอิประกาศ “ไปยังวิหาร และเราจะหวังพึ่งความใจบุญของนักพรตที่อาศัยอยู่ที่นั่นแทน”
เดินทางอีกไม่นานภาพของวิหารก็ปรากฏพ้นเหนือหมอก ที่แห่งนี้ดูไม่ได้ถูกทิ้งร้าง หอคอยสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่นั้นรูปร่างเหมือนกับที่ถูกสลักไว้บนเครื่องราง
ในขณะที่อิเลาอิก้าวตรงไปยังประตู ชายคนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาขวางเธอ รูปลักษณ์ของเขาไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ร้ายบนเกาะจนอิเลาอิเกือบจะทุบเขาด้วยรูปปั้นเข้าให้
“เดี๋ยวก่อน! นี่ข้าเอง” รูเบนร้อง
ในช่วงวินาทีนั้น ทั้งกลุ่มต่างทำแค่จับจ้องมอง ร่างกายของรูเบนชุ่มไปด้วยโคลน เสื้อคลุมของเขาโชกไปด้วยเลือด เศษหญ้าติดอยู่ตามไรผม เขาดูเหมือนคนที่ถูกรุมกระทืบโดยฝูงปูหินยักษ์
อิเลาอิแสดงความโล่งใจชั่วครู่ก่อนที่ความหงุดหงิดจะเข้าปะทะ “สิ่งที่เจ้าทำมันช่างน่าละอาย” เธอตวาด “เจ้าทิ้งลูกเรือของตัวเอง”
รูเบนดูตกใจ “ข้านึกว่าเจ้าจะดีใจที่ได้เจอข้า”
“ข้าไม่เคยดีใจที่ได้เห็นชายละทิ้งหน้าที่ของตน!” อิเลาอิยังคงพูดต่อ “เจ้าบอกข้าว่าต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ข้าไม่เห็นชายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในสนามรบเมื่อกี้”
รูเบนหันมองไปยังลูกเรือด้วยความเหนียมอาย และคริสตอฟก็ไม่รีรอ “เจ้ารอดจากหมอกมาได้ยังไง?” เขาถาม
ร้อยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเปื้อนโคลนของรูเบน “ข้า เอ่อ...”
“อิเลาอิบอกว่าการหนีก็เหมือนการฆ่าตัวตาย”
สีหน้าของรูเบนหมองลง “ถ้าเจ้าอยากรู้จริง พอดีข้านำเครื่องป้องกันส่วนตัวมาน่ะ เลยปลอดภัย”
อิเลาอิรู้สึกรังเกียจชายผู้นี้ เครื่องป้องกันที่เขาไม่ยอมปริปาก วัตถุโบราณบางอย่างงั้นเหรอ? “ไว้เราค่อยคุยเรื่องความน่าละอายของเจ้าทีหลัง” เธอกล่าว “ก่อนอื่นเราต้องเข้าไปข้างใน”
เธอหันไปเคาะประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้า เสียงเคาะนั้นดังก้องทะลุไปยังพื้นที่ด้านใน จากนั้นด้านบนก็มีเสียงใครคนหนี่งกระแอมและเอ่ยลงมา “เจ้าคือใคร?”
อิเลาอิพอจะมองเห็นมนุษย์ร่างใหญ่สวมฮู้ดชะโงกหน้าออกมาจากราวระเบียง “ข้าคืออิเลาอิ ผู้กุมสัจธรรมแห่งบูฮ์รู” เธอเอ่ยตอบ “ข้ามาตามหานักพรตแห่งภราดรแห่งอาทิตย์อัสดง เราขอหลบพักที่นี่ได้หรือไม่?”
ชายผู้นั้นนิ่งไปชั่วครู่ “ข้าจะให้เจ้าเข้ามา” เขากล่าวด้วยเสียงนุ่มลึก “แต่อย่าได้แตะต้องสิ่งมีชีวิตใดที่อยู่ภายใน”
“สิ่งมีชีวิตหรอ?”กะลาสีคนหนึ่งกระซิบ
ประตูค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ แต่ละบานนั้นล้วนสูงใหญ่แถมยังหนักอึ้งกว่าร่างของอิเลาอิเป็นสองเท่า และเมื่อมันถูกเปิดไปครึ่งหนึ่ง เธอก็ได้เห็นว่าใครกันที่เป็นคนเปิดมันให้ พวกมันคือมิสต์วอคเกอร์
พวกเขาคือวิญญาณในรูปร่างคล้ายชายและหญิงหลังค่อม แขนสองข้าลากพื้นและมีปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยว แต่ไม่เหมือนกับตนอื่น ๆ ที่อิเลาอิเคยเจอ พวกเขาเหล่านี้กลับเคลื่อนตัวไม่ตอบโต้ด้วยท่าทีเชื่อฟัง คอยผลักดันประตูเฉกเช่นคนรับใช้ที่รู้งาน
อิเลาอิถึงกับผงะตื่นตะลึง แต่มิสต์วอคเกอร์เหล่านั้นไม่ได้กระโจนใส่เธอ ด้านหลังของเธอเอง เหล่ากะลาสีก็เตรียมเอื้อมคว้าอาวุธไว้พร้อม
จากนั้นชายที่อยู่บนระเบียงก็ปรากฏตัว “พวกเขาทำให้เจ้ากลัวงั้นเหรอ?” เขาถาม “พวกเขาคือสหายของข้า”
อิเลาอิไม่เคยเจอใครแบบเขามาก่อน แต่งกายคล้ายนักบวชแต่กำยำดั่งก้อนหิน กล้ามไหล่และมวลแขนเหล่านั้นล้วนมาจากการทำงานอย่างหนัก ไม่ใช่ชายที่จะหักเป็นสองท่อนได้ ในมือหนึ่งของเขาถือพลั่วเหล็กสีดำขึ้นสนิมเปื้อนไปด้วยเศษดิน อย่างกับว่าเขาเพิ่งจะขุดเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้ขึ้นมาจากหลุมหมาด ๆ
อิเลาอิสังเกตเห็นว่าที่แขนของเขาไม่ใช่ชายเสื้อ สีฟ้าที่เห็นนั้น... มันคือผิวหนังของเขา
“เจ้าเองก็เป็นมิสต์วอคเกอร์?” เธอเคยร่วมมือกับมิสต์วอคเกอร์มาก่อน ถึงจะไม่เต็มใจก็ตาม สิ่งมีชีวิตที่ถูกขังอยู่ระหว่างกึ่งกลางของความตายมักจะนำพาความเจ็บปวดมาสู่ผู้ที่มีชีวิต และถือเป็นการดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตยิ่งนัก
ชายผู้นั้นยิ้ม “เจ้าจะถามว่าข้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าสินะ?”
“บนเกาะแห่งนี้ ข้าว่ามันเป็นคำถามปกติ!”
“และก็ค่อนข้างส่วนตัวด้วย” เขายักไหล่เล็กน้อย “ข้าคือ... ผู้ดูแล ได้โปรดเข้ามาข้างในก่อน”
ลานกว้างด้านในคับคั่งไปด้วยมิสต์วอคเกอร์ที่กำลังเดินแบกเศษไม้และหิน เดินเป็นแถวร่ายเรียงข้ามหลุมศพไปมา พวกเขาไม่แม้แต่จะสนใจผู้ที่เข้ามาใหม่ และถึงแม้ดวงตาจะว่างเปล่าและปากจะอ้าค้างไร้จิตใจ แต่พวกเขาก็ดูจะถูกขับเคลื่อนด้วยภารกิจลึกลับอะไรบางอย่างที่อยู่ภายใน
“นี่มันบ้าไปแล้ว” รูเบนกระซิบ “เขามีกองทัพของตัวเอง”
“เขาได้รับการปกป้องจากบางอย่างด้วย” อิเลาอิเอ่ย “ดูสิ หมอกทมิฬไม่โจมตีเขา”
นักพรตเผอิญได้ยินพวกเขา “เพราะมันไม่จำเป็น พวกมันมีหญิงสาวแห่งหมอกคอยจับตาข้าแล้ว”
เขาชี้ขึ้นไปยังด้านบนหอคอย อิเลาอิพอมองเห็นร่างหนึ่งบนนั้น แต่มันก็หลบหายเข้าไปยังราวระเบียง ดั่งกับอายที่จะถูกมองเห็น
“หญิงสาวแห่งหมอก?”
“สหาย... อีกตนหนึ่งของข้า”
“แล้วเจ้าชื่ออะไร?”
“โยริค” นักพรตตอบ “ข้าคือภราดรคนสุดท้ายที่ประจำที่แห่งนี้”
อิเลาอิจ้องเขม็ง ไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องจริง “คนสุดท้าย?”
“ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ต้น” เขากล่าวพร้อมผายมือไปยังท้องฟ้าหมอกเบื้องบน “ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เหตุการณ์การล่มสลาย”
อิเลาอิจินตนาการไม่ออกถึงบ้านในแบบโยริค ห้องโถงโล่งกว้างของวิหารที่พลุกพล่านไปด้วยการเคลื่อนไหวของมิสต์วอคเกอร์ พวกมันเดินวนพาดผ่านพื้นอันสะอาดเอี่ยมและคอยทำหน้าที่ลึกลับไปไม่จบสิ้น
เธอรู้สึกได้ว่าผิวหนังเริ่มแสบคันและริมฝีปากก็เริ่มแตกแห้ง นี่ไม่ใช่ความกลัว มันคือความโกรธ ชายผู้นี้กักดวงวิญญาณไร้ซึ่งสติไว้รับใช้ตน ช่างน่ารังเกียจ เธอเก็บความคิดนั้นไว้กับตัว เพราะอย่างไรก็ตาม ชายผู้นี้ก็อาจจะยังช่วยบิลจ์วอเตอร์ได้
“พวกเจ้าเจอปัญหามามากระหว่างทาง” โยริคสังเกตได้ จากนั้นก็ผายมือไปทางบันไดวน “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องการปลอบประโลมมนุษย์ แต่มันมีน้ำสะอาดอยู่ในชลสถานด้านล่าง รวมถึงเปลวไฟไว้สร้างความอบอุ่น”
ในขณะที่คนอื่น ๆ ลงไปชำระร่างกายที่ชั้นล่าง อิเลาอิก็ยืนคอยอยู่ที่หน้าประตู เฝ้ามองเหล่ามิสต์วอคเกอร์ที่อยู่ในลานด้านล่าง ถ้าเป็นก่อนที่เธอจะได้ร่วมเดินทางไปกับซาร่าห์และสหายเพื่อหยุดยั้งวิเอโก้แล้วล่ะก็ หากเธอได้พบชายที่ถูกกักขังมาเป็นเวลาหลายพันปี ทั้งยังบัญชากองทัพวิญญาณเป็นโขยง... เธอก็คงจะลงมือสังหารเขาโดยทันที และนากาคะโบรอสก็คงอวยพรให้เธอเช่นกัน
โยริคปรากฏตัวข้างเธอ “เจ้ามีธุระกับข้าสินะ” เขาเอ่ย
“ใช่แล้ว” เธอพยายามกดเสียงให้ใจเย็น “แต่ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเห็นดวงวิญญาณในลักษณะนี้”
“พวกเขาไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่หรอกนะ ถ้านั่นคือเรื่องที่เจ้ากังวล” โยริคกล่าว “ข้าคอยออกตามหาวิญญาณทรมานบนเกาะแห่งนี้ บางตนก็อยู่กับข้าที่นี่สักระยะ จากนั้นก็จากไป”
“และพวกเขากำลังทำอะไรอยู่?”
“สร้างหลุมฝังศพ” เขากล่าว “พวกเขาเหล่านี้คือผู้คนแห่งเกาะศักดิ์สิทธิ์ คนในประเทศของข้าที่ต้องการนอนหลับอย่างสงบ” เขาหยุดนิ่งชัวขณะ ดั่งกับท่องบทสวดชั่วครู่ “เราคุยกันส่วนตัวในห้องสมุดของข้าด้านบนก็ได้”
หอคอยนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐบล็อกสีดำขนาดใหญ่ ถูกขัดเกลาด้วยเวลาและลงสีด้วยเขม่าควันสีดำไปตามกาล ที่แห่งนี้มีอายุยืนนานกว่าซากของนครเฮเลียหรือคลังสมบัติใดที่อิเลาอิและซาร่าห์เคยไปเสียอีก
เขาถูกกักขังอยู่ที่นี่ไม่ต่างจากคนตายมาเป็นเวลาหลายพันปี
คือตัวตนแห่งการหยุดนิ่ง และความสุภาพของเขาก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้แย่ขึ้นไปใหญ่
ห้องโถงด้านบนหอคอยรายเรียงไปด้วยชั้นหนังสือและส่องสว่างโดยไฟสีฟ้าที่พาดผ่าดมาทางหน้าต่าง แขวนอยู่ด้านข้างประตูคือชุดเกราะหินที่มีผ้าคลุมหมอกทมิฬประดับอยู่ และด้านบนชั้นวางหนังสือชั้นหนึ่ง กลุ่มก้อนหมอกทมิฬและแสงสีฟ้าก็ค่อย ๆ หันหน้าออกมา
“นั่นคือหญิงสาวแห่งหมอก” โยริคเอ่ย “เธออยู่กับข้ามาหลายศตวรรษ”
“ไหนเจ้าบอกว่าพวกเขาจะจากไป”
“เมื่อพวกเขาพร้อม” เขาปิดประตูด้านหลังพวกเขา “และหากว่าเจ้าพร้อมแล้ว ก็โปรดแสดงให้ข้าได้รู้ว่าเจ้าซ่อนใครไว้ในกล่องข้างเข็มขัดของเจ้านั้น”
อิเลาอิพยักคิ้ว “เจ้าสัมผัสถึงมันได้?”
“หญิงสาวเอ่ยกับข้า เธอบอกข้าว่าดวงวิญญาณที่อยู่ในนั้นคือใคร”
อิเลาอิเปิดกล่องด้วยกุญแจที่ห้อยอยู่ที่คอ โยริคก้มลงไปเพื่อดู และแสงจากเครื่องรางก็พวยพุ่งหมุนวนรอบร่างดั่งหินผาของเขา
“วิเอโก้แห่งคามาวอร์” เขาเอ่ย จากนั้นก็ทำท่าจะเอื้อมมือไปยังกล่องใบนั้น ก่อนที่จะหยุดตัวเองไว้ “นับตั้งแต่เหตุการณ์การล่มสลาย ข้าก็หวังจะได้เจออะไรแบบนี้ แต่... ข้าคงหวังมากไป”
“เจ้าหวังจะได้เจออะไร?”
“ว่าหมอกจะสลายไป แต่มันก็ยังอยู่ ว่าดวงวิญญาณทั้งหลายจะถูกปลดจากความทุกข์ แต่มันก็ยังดำเนินต่อไป” อิเลาอิอ่านสีหน้าของเขาไม่ออก “บางทีข้าก็แค่หวังไว้ว่าข้าจะเปลี่ยนไป”
อิเลาอิรู้สึกได้ถึงความสงสารที่เกิดขึ้นในใจ เธอเองก็เคยคิดว่าเกาะแห่งเงาจะเปลี่ยนไปหลังการจากไปของวิเอโก้ ว่าหมอกจะสลายหายไปเสียที แต่ตอนนี้นั่นถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่เกินตัวพวกเรา เธอเตือนตัวเอง
“ตอนที่พวกเจ้าเอาชนะเขา ข้ามองเห็นแสงบนฟากฟ้า” โยริคกล่าว “แต่ดวงวิญญาณก็ยังไม่ถูกปลดปล่อย และหญิงสาวก็ยังคงกระซิบใส่หูของข้า ดังนั้นความรับผิดชอบของข้าก็ยังคงอยู่ต่อไป” เขาเหลือบมองอิเลาอิด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคือสมาชิกของภาคีศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็เช่นกัน หลายต่อหลายปีแห่งภาระหน้าที่... นั่นคือวิถีของเรา การคงอยู่ ความศรัทธา และการอุทิศตน”
อิเลาอิพูดขัด “นากาคะโบรอสไม่ได้รังเกียจการอุทิศตน เธอรังเกียจการหยุดนิ่ง”
โยริคลุกขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง “มาดูนี่สิ”
อาณาเขตรอบนอกกำแพงวิหาร กว้างไกลหลายต่อหลายไมล์ข้ามผ่านทุ่งรกร้างและปกคลุมด้วยหมอกคือหลุมศพนับพัน หลุมศพที่ถูกสลักขึ้นโดยช่างฝีมือมนุษย์วางเรียงรายเคียงคู่หลุมที่ถูกสร้างเลียนแบบหยาบ ๆ ขึ้นมาจากเศษหินโดยวิญญาณคนตาย ไม่ว่ามองไปทางไหน แถวป้ายหลุมศพที่ไม่สิ้นสุดก็ขยายออกไปผ่านการเคลื่อนไหวของเหล่ามิสต์วอคเกอร์
“ไม่ใช่ว่านี่คือสุสานที่ใหญ่ที่สุดที่เจ้าเคยเห็นมางั้นเหรอ?” โยริคถามแกมเศร้า
ใช่เลย อิเลาอิคิด ขนาดมันใหญ่เกือบเท่าครึ่งหนึ่งของบิลจ์วอเตอร์ด้วยซ้ำ
เสียงของโยริคคั่งไปด้วยอารมณ์ “หากจะมีคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงบนเกาะแห่งนี้ ข้าก็คือคนคนนั้น ข้าคอยแหวกพื้นดินขึ้นมาและก็นำพาเหล่าดวงวิญญาณสู่สุขติ ภายใต้โลกรอบตัวข้าที่เปลี่ยนแปลงไป” เขาหันไปหาอิเลาอิ “นี่ข้ายังไม่ให้เกียรติเทพีของเจ้าอีกงั้นเหรอ?”
กลุ่มก้อนแห่งความเชื่อคือสิ่งที่เกี่ยวยึดอิเลาอิไว้กับความศรัทธาของเธอ มันคือความเชื่อง่าย ๆ ที่ทั้งแจ่มแจ้ง สง่างาม และสื่อถึงมนุษย์ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเทพีจะเปลี่ยนแปลงไปในหลายปีที่ผ่านมา แต่แก่นความเชื่อของเธอก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ชีวิตคือการเคลื่อนไหว และหากจะมีชีวิตเต็มที่ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลงคือพลัง
ผู้ที่มีชีวิตเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลง คนที่ตายไปไม่มีโอกาสนั้น
แต่ตอนนี้อิเลาอิสัมผัสได้ว่ารากฐานนั้นกำลังสั่นคลอนอยู่ใต้เท้าเธอ คนตายก็สามารถสร้างโลกของตนเองได้งั้นเหรอ?
พวกเขายังสามารถเดินตามความต้องการของตนได้หรือไม่? ไม่มีทาง
และทำไมเขาถึงยังคิดเช่นนั้น?
เธอเคยชักนำการเคลื่อนไหวกลับสู่สิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ระหว่างความเป็นและความตายมาก่อน ไพค์ มือเชือดแห่งบลัดฮาร์เบอร์คือหนึ่งในนั้น อย่างไรพรของเขานั้นก็ได้รับมาจากนากาคะโบรอส แตกต่างจากอาณาเขตแห่งนี้ที่เทพีไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“คงงั้นมั้ง” ในที่สุดเธอก็ยอมรับ “คนตายสามารถมีการเคลื่อนไหวในแบบของตน แต่นากาคะโบรอสจะไม่มีวันกักขังดวงวิญญาณไว้ที่นี่เกินอายุขัยของพวกเขา”
“เธอต้องการเห็นพวกเขาเกิดใหม่?”
“ใช่ เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้! นับเป็นบาปที่จะปฏิเสธชีวิตของพวกเขาแม้เพียงวินาที”
“นั่นแหละคือความต่างของเรา” โยริคเอ่ย “เธอกำจัดดวงวิญญาณก่อนถึงเวลาของพวกเขา”
อิเลาอิรู้ดีว่าหากบทสนทนาดำเนินต่อไป เธอคงไม่มีวันได้จัดการเรื่องเครื่องราง เธอจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง “และนี่ก็คือดวงวิญญาณที่ข้าอยากกำจัด” เธอชูเครื่องรางขึ้นมาพร้อมแสดงสัญลักษณ์ที่อยู่ด้านหลังแก่นักพรต “ภาคีของพวกเจ้าสร้างสิ่งนี้ แต่ในรูปแบบของบูฮ์รู พวกเราหวังว่าเจ้าจะบอกเราถึงวิธีทำลายวิญญาณภายในนี้ได้”
โยริครับเครื่องรางมาวางไว้บนมือ มันดูจะไม่ส่งเสียงรบกวนเขาเหมือนที่ทำกับซาร่าห์
“ข้าว่าข้าจำหญิงสาวที่สร้างสิ่งนี้ได้” เขากล่าวก่อนหันไปหาชั้นหนังสือและหยิบแผ่นกระดาษสีเทาเก่าเขรอะขึ้นมา “เธอเคยเป็นกะลาสีชาวบูฮ์รู แต่เธอเห็นผู้คนสูญชีวิตไปกับทะเลมากเกินไป เธอจึงเข้าร่วมภาคีของเรา เพื่อนำพาความสุขติสู่ผู้วายชนม์”
แผ่นกระดาษนั้นลงบันทึกไว้ด้วยอักขระบูฮ์รูโบราณ อิเลาอิพอจะเข้าใจคำโบราณได้บ้าง ช่างฝีมือคนนี้ได้คิดค้นการสร้างอัญมณีที่สร้างจากอำพันอสรพิษ ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีแต่ชาวบูฮ์รูเท่านั้นที่ทำได้ แต่เธอก็ได้ผสมความร้อนอัดใส่อัญมณีเพิ่มเข้าไป เพื่อสร้างปลอกคริสตัลที่สามารถกักเก็บได้แม้วิญญาณที่โกรธเกรี้ยว ซึ่งครั้งนี้คือเทคนิคของชาวเกาะศักดิ์สิทธิ์
“ข้าอ่านภาษาบูฮ์รูไม่ออก” โยริคเอ่ยบอก “ในนั้นมีบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า?”
ดวงตาของอิเลาอิไล่ลงไปด้านล่างของหน้าหนังสือ จนเธอพบกับภาพวาดเตาหลอมไฟซึ่งเดินเครื่องด้วยพลังเวทมนตร์ผ่านจุดตัดของปริซึมและเลนส์แสง เครื่องปั่นพลังไฟแห่งแสงสว่างและเปลวเพลิง ภาพวาดนั้นเขียนกำกับสิ่งนี้ไว้ว่า แท่นพิฆาตดวงวิญญาณ
ชัดเจนเลย “เธอใช้เครื่องจักรของพวกเจ้าในการมอบความร้อนให้กับอัญมณี และด้วยความร้อนเดียวกัน เราก็อาจจะกำจัดดวงวิญญาณที่อยู่ภายในได้”
“เตาหลอมหรอ?” โยริคหัวเราะแกมเศร้า “ข้าใช้อิฐของมันมาสร้างหลุมศพหมดแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่พวกเขายืนคิดพิจารณาไม่พูดจา อิเลาอิกำลังคิดว่าซาร่าห์จะทำอะไรอยู่ เธอกำลังคิดว่าข้ามฟากทะเลมาเพียงนี้ เธอคนนั้นจะยังได้ยินเสียงเครื่องรางกระซิบกรอกหูอยู่หรือเปล่า
“มีอีกวิธีที่เป็นไปได้” อยู่ ๆ โยริคก็เอ่ยขึ้นมา “บางทีเจ้าอาจจะเหวี่ยงเครื่องรางนั่นทิ้งลงไปในภูเขาไฟ”
อิเลาอิเหลือบมองโยริค “พูดเล่นหรือเปล่า”
“ข้าพูดจริง ข้าอาจจะไม่ได้มีชีวิตยืนยาวเป็นพันหมื่นปี แต่อย่างน้อยภูเขาไฟก็เป็นเช่นนั้น” เขาหันกลับไปยังชั้นหนังสือและหยิบม้วนแผนที่ขนาดยักษ์แผ่นหนึ่งออกมา ที่แสดงอยู่คือภาพถนนหนทางและเมืองต่าง ๆ ของเกาะศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การล่มสลาย “ตรงนี้” โยริคชี้ไปยังจุดเล็ก ๆ มุมไกลสุดของแผนที่ “เกาะสคาร์โดเวอร์ ล่องเรือไปใช้เวลาครึ่งวัน”
“ที่นั่นยังมี... ลาวาปะทุอยู่งั้นเหรอ?” เธอรู้สึกบ้าบอที่เอ่ยถาม
“เวลาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป” โยริคกล่าว “แต่มันเคยมี ในวันคืนเก่า ๆ ของข้า”
อิเลาอิคิดได้อย่างนึง ถ้าหากไพค์สามารถมองเห็นความจริงในวิถีของเทพี
ชายผู้นี้ก็คงมองเห็นเช่นกัน “วันนี้ก็ ยังเป็นวันของเจ้าได้” เธอกล่าว “ไปกับเรา เจ้าอยากเห็นราชาถูกกำจัด เจ้าเป็นคนเหวี่ยงเขาไปสู่ความตายยังได้เลย!”
โยริคกระแอมหัวเราะออกมาเบา ๆ “ที่นั่นอยู่นอกขอบเขตหมอกทมิฬ ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้มากหากข้าออกไปจากมิติแห่งความตาย” เขาผายมือไปทางหญิงแห่งหมอก “พลังของข้าสถิตอยู่กับความตาย และข้าก็ไม่เคยทิ้งสถานที่นี้ไปมากกว่าพันปี”
“เช่นนั้นก็ไม่มีเวลาไหนเหมาะสมกว่านี้แล้ว!” อิเลาอิเร้า “ไปจากที่นี่สักเพียงหนึ่งวัน ข้าว่าเจ้าต้องเพลินไปกับมันแน่”
โยริคพิจารณาอยู่ชั่วครู่ “ช่างเป็นความคิดที่ประหลาด” เขาพึมพำ “การทำบางอย่างเพื่อให้ตัวเองเพลิดเพลิน” เขายืดตัวตรงและกอดอกหนักแน่น “เจ้าพูดถูก ไม่มีสิ่งใดจะทำให้ข้าเพลิดเพลินไปกว่าการได้กำจัดวิเอโก้”
และพวกเขาทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่สวนเพื่อจะออกจากวิหาร
รูเบนยืนห่างออกไปจากกลุ่มที่เหลือในขณะที่โยริคบัญชาสมุนวิญญาณของเขาให้เปิดประตู อิเลาอิรวบรวมแผนที่นำทางทั้งหมดที่เธอเก็บได้จากในป่า และเดินตรงเข้าไปคุยกับกัปตัน
“จัดการปัญหากับลูกเรือที่เหลือหรือยัง?” เธอถาม “พวกเจ้าจะกลับไปเรือแบบสันติกันได้ไหมนะ?”
เขายังไม่ยอมมองตาเธอ “แน่นอนอยู่แล้ว เราเดินกลับกันได้”
“พวกเขาข่มขู่เจ้าหรือเปล่า? ข้ามีภารกิจ และข้าจะไม่ทนเพิกเฉยหากเจ้าหรือลูกเรือของเจ้าเข้ามาขวาง” ทว่ารูเบนก็ยังไม่ยอมมองหน้าอิเลาอิ ความรำคาญเริ่มก่อตัวในลำคอของเธอ “เจ้าต้องบอกข้าหากพวกเขามีความคิดจะกบฎ” เธอพึมพำ
เขายักไหล่ “ข้าไม่รู้อะไรแล้ว ข้าไม่สนด้วยซ้ำว่าพวกเขาจะทำอะไรข้า นี่คือการเดินเรือครั้งสุดท้ายของข้า คิดว่านะ”
อิเลาอิมองลงไปยังบันทึกเดินเรือ เขาคือคนเดียวที่อ่านมันได้ เธอคิดในใจ ยังพอเหลือเวลาให้ดึงสติเขากลับมาเมื่อเราออกสู่ทะเล
เธอมอบกระดาษเหล่านั้นให้กับเขา “ข้าหวังว่าเจ้าจะตั้งสติ” เธอบอกกับเขา “การอุทิศตน มนุษย์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ แต่เขาผู้นั้นก็ต้องพยายาม”
“ก็ได้” รูเบนยัดกระดาษใส่เสื้อคลุมเปื้อนโคลนของเขา
พวกเขากลับไปยังเรือด้วยความเงียบตลอดทาง ลูกเรือครึ่งหนึ่งตายแล้ว และรูเบนก็ไม่ถูกกับคนที่เหลือไปเสียแล้ว ในขณะที่รูเบนนำเรือออกจากอ่าว โยริคก็ยืนอยู่ที่กาบเรือและเฝ้ามองไปยังหญิงสาวแห่งหมอกที่ยืนอยู่ลำพังบนหาดทราย
“เจ้าทิ้งนางไปเป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปี” อิเลาอิกล่าว “รู้สึกอะไรบ้างไหม?”
เขาหยิบบางอย่างขึ้นมาจากคอเสื้อ ภาชนะบรรจุของเหลวสีสว่างใสขวดหนึ่ง “เสียงกระซิบของหมอกนั้นเบาบางลง” เขากล่าว “แต่เสียงของสิ่งนี้กลับดังขึ้น”
อิเลาอิใช้เวลาชั่วครู่ก่อนที่จะรับรู้ว่าเธอกำลังมองอะไร “น้ำศักดิ์สิทธิ์?”
“ถูกต้อง” เขาเก็บภาชนะนั้นกลับเข้าคอเสื้ออีกครั้ง “ที่วิหาร สิ่งนี้ช่วยประคองให้ข้ามีชีวิต แต่ข้างนอกนี้ ข้าขอให้มันช่วยนำพาพลังให้แก่ข้า”
การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงทางตรงสู่จุดหมาย ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็จะถึงเกาะที่อยู่สุดขอบของอาณาเขตเกาะแห่งเงา ลูกเรือกางใบเรือให้น้อยที่สุดเพื่อเร่งความเร็ว โดยมีรูเบนคอยกุมหางเสืออยู่ที่ดาดฟ้าควบคุม ไหล่ของเขาห่อเหี่ยว มือล้วงกระเป๋าตลอดเวลา และดวงตาก็จับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้า รวมถึงลูกเรือที่เหลือ
อิเลาอิเข้ามาหาเขา “ข้ารู้ว่าเราคุยกันว่าจะคุยเรื่องนากาคะโบรอสและที่ทางของเจ้าในบิลจ์วอเตอร์” เธอบอกเขา “หากเจ้ายังต้องการคำแนะนำ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
เขาเหลือบมองมาทางเธอ มีบางสิ่งในดวงตาของเขา ความกลัว? “เอาไว้ทีหลังดีกว่า” เขาพึมพำ
“เจ้ากับลูกเรือคุยอะไรกันที่วิหาร?” พวกเขาต้องหาจังหวะคุยกันแน่ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร รูเบนก็ต้องตั้งใจฟัง
“ข้าไม่อยากพูดถึงมัน” เขาตอบ “ฟังนะ ข้ายุ่งอยู่”
อิเลาอิยักไหล่และก็ผละลงมาจากดาดฟ้าควบคุมเพื่อเดินทอดน่องไปบนเรือกับโยริค
เธอประหลาดใจที่เธอเพลิดเพลินไปกับมัน เมื่อเธอไม่ต้องทนเห็นกองทัพมิสต์วอคเกอร์ของเขา มันก็ง่ายกว่ามากที่จะสนทนาถึงความเชื่อและความคิดของพวกเขา พวกเขาใช้เวลาทั้งคืนพูดคุยกันและกัน ความเชื่อของเขานั้นยึดมั่นไม่ต่างจากเธอ แต่ลำดับความสำคัญของเขานั้นช่างประหลาด สำหรับเขาการรักษาคนตายนั้นสำคัญกว่าการนำพาพวกเขากลับสู่การมีชีวิต
“ข้าไม่มีวันเข้าใจ” เธอบอกเขา “แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าหมายความถึงมันจริง ๆ”
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าเข้าใจ แต่ข้าดีใจที่อย่างน้อยเจ้าก็รับฟัง”
กะลาสีส่วนมากเข้าไปนอนพักผ่อนที่ชั้นล่างของเรือก่อนที่รุ่งสางจะมาถึงไม่นาน และเมื่อพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้า เรือเทรนแรทก็หลุดออกมาจากหมอกทมิฬและเห็นจุดหมายอยู่ด้านหน้า
“เห็นแล้ว” รูเบนกล่าว “เกาะ ที่เห็นเป็นเงาอยู่ที่เส้นขอบฟ้านั่น”
ลูกเรือหลายคนรวมตัวกับที่ด้านข้างเรือ เพื่อรับชมภาพกลุ่มก้อนเกาะรูปกรวยสีดำที่ตัดกับเส้นขอบฟ้าสีเทาเบื้องหน้า
“เกาะสคาร์โดเวอร์” โยริคเอ่ย “ข้าเคยได้ยินมาว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่นเมื่อนานมาแล้วก่อนที่ข้าจะเกิด แต่ข้าว่ามันไม่น่าเชื่อเท่าไหร่”
อิเลาได้กลิ่นกำมะถันมาแต่ไกลจากชายฝั่ง เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ตัวเกาะ เงามืดที่เคยปรากฏยังเส้นขอบฟ้าก็กลับกลายเป็นภูเขาแห่งเถ้าถ่าน ไร้ซึ่งแมกไม้ใดประดับนับตั้งแต่ชายฝั่งไปจนถึงปากปล่องภูเขา รายล้อมอยู่รอบ ๆ คือหินแหลมคมที่ขนาดใหญ่โตยิ่งกว่าบ้านเรือนหลังหนึ่ง
ในขณะที่ลูกเรือค่อย ๆ ทอดสมอ อิเลาอิก็กลับเข้าไปยังท้องเรือเพื่อหยิบรูปปั้นของเธอ ใต้ท้องเรือนั้นทั้งเงียบสงัดและมืดมิด ไม่มีเสียงใดยกเว้นเสียงไม้เสียดกันและเสียงน้ำปะทะกับท้องเรือ รอบ ๆ กายเธอคือเหล่าลูกเรือที่กำลังนอนหลับอยู่บนเปลญวนที่แขวนลงมาจากขื่อเรือ
เธอทิ้งรูปปั้นไว้ที่เตียง หลังจากหยิบมันขึ้นมาถือไว้ข้างตัวอย่างเก้กัง เธอก็กลับไปยังห้องโถงเรือด้านล่างที่อยู่ระหว่างช่องปืนใหญ่
เงียบเหลือเกิน เธอคิด
จากนั้นเธอถึงรู้สึกว่าเธอไม่ได้ยินเสียงใครกรนเลย
เธอเอื้อมไปจับเปลญวนที่อยู่ใกล้ที่สุดและพลิกมาดู คริสตอฟนอนอยู่ในนั้น...และเขาก็ไม่หายใจ ปากแห้งผากของเขาอ้าค้าง และดวงตาของเขาก็ว่างเปล่าเบิกโพลง อิเลาอิสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนแห่งวิญญาณ แต่สำหรับเขาตอนนี้เธอสัมผัสได้แต่ความตาย
การแช่แข็งวิญญาณ? ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่
เธอพุ่งเข้าไปใกล้เปลญวนอีกเปลอย่างว่องไว กะลาสีในนั้นก็ถูกแช่แข็งในลักษณะคล้ายศพเช่นเดียวกัน
เรือทุกลำที่ออกจากเกาะแห่งเงาล้วนมีโอกาสพาเงาติดมาด้วย
“จงเปิดเผยตัวออกมา” เธอเอ่ย “ใครกันที่เป็นคนทำเรื่องนี้?”
ตึง ที่อีกฟากของเรือ ประตูบันไดปิดลงมาไม่ทันตั้งตัว และตอนนี้ทั้งชั้นใต้ท้องเรือก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
อิเลาอิย่อตัวและกำยึดรูปปั้นของเธอไว้แน่น ชั้นล่างนี้แทบไม่เหลือที่ให้เคลื่อนไหวต่อสู้ได้ มันคือสถานที่เดียวในเรือที่เธอจะอ่อนแอที่สุด “เจ้ารอจังหวะที่โยริคและข้าแยกกันอยู่ใช่ไหม?”
แสงสีฟ้าส่องประกายขึ้นในความมืด “ถูกต้อง” เสียงหนึ่งตอบ “รวมถึงรอให้หมอกหายไปด้วย เพราะมันคืออาวุธของเพื่อนเจ้า” รูเบนก้าวออกมาจากความมืดระหว่างอิเลาอิและบันได “ข้าอยากคุยกันแค่สองคน”
เขาถูกห่อหุ้มด้วยแสงประกายบาง ๆ และด้านหลังเขาก็มีใครอีกคนหนึ่งอยู่
ด้านหลังนั้นคือดวงวิญญาณหลังค่อมสวมชุดคลุมแบบนักวิชาการแห่งเกาะศักดิ์สิทธิ์ ชุดคลุมของเขาประดับประดาไปด้วยสัญลักษณ์เวทมนตร์และเปรอะเปื้อนไปด้วยเมือกสีดำ อย่างกับว่าเขาเพิ่งโผล่พ้นขึ้นมาจากหนองน้ำเน่าเปื่อยยังไงอย่างงั้น รยางค์หมอกทมิฬม้วนวนรอบกายเขา และเหนือปลอกคอสีทองมัวหมองนั่นขึ้นไปก็คือใบหน้าบิดเบี้ยวผิวเหี่ยวย่นที่ถูกแบ่งครึ่งโดยรืมฝีปากคางคกขนาดยักษ์ และเมื่อเขาเผยรอยยิ้มออกมา อิเลาอิก็พอมองเห็นซี่ฟันแหลมมากมายเรียงรายในนั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบทำให้ตัวเองตกต่ำ กัปตัน แต่ข้าไม่คิดเลยว่า เจ้าจะทำสัญญากับสัตว์ประหลาด”
“ข้าทำสัญญากับคนที่ช่วยข้า! ข้าต้องการเพียงแค่นั้น ข้าแค่ต้องการคนมาช่วย” ริมฝีปากของรูเบนบิดผันกลายเป็นรอยยิ้ม “ชีวิตข้าทำงานมาหนักพอแล้ว ใช่ไหมล่ะ? ข้าไม่ต้องการการขัดเกลาวิญญาณอิเลาอิ ข้าแค่ต้องการคนช่วย!”
วิญญาณตนนั้นยกมือขึ้นมา ในมือของเขาถือลูกแก้วที่ส่องสว่างด้วยแสงสีฟ้าแบบเดียวกับที่ส่องประกายรอบตัวรูเบน หมอกทมิฬไหลทะลักออกมาจากมัน เช่นเดียวกับที่ไหลออกมาจากร่างของวิญญาณผู้นั้น จากนั้นลูกแก้วก็กะพริบ และศ๊รษะของรูเบนก็กระตุกอย่างผิดธรรมชาติ
อิเลาอิเพิ่งจะรู้ตัวว่าเธออ่านผู้ชายคนนี้ผิดไปมากนัก เขาไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลง เขาต้องการเป็นหัวหน้าลูกสมุนของเขาต่อไป และเขาก็แค่ต้องการเจ้านายที่ใจดีมากกว่าซาร่าห์
ใต้นี้มันคับแคบเกินไปกว่าที่เธอจะโจมตีได้ เธอจึงพยายามชวยสนทนาต่อ “เจ้าไปเจอวิญญาณตนนี้ที่ไหนเข้า?” เธอถามขณะพยายามเคลื่อนตัวไประหว่างปืนใหญ่
“บาเทคช่วยข้าจากพวกภูติผี”
อิเลาอิแทบจะอดกลั้นเสียงหัวเราะอดสูไม่อยู่ “เขากำลังใช้งานเจ้า จงกลับเป็นตัวของตัวเอง รูเบน”
รูเบนเริ่มลังเล แต่ลูกแก้วก็เปล่งแสงอีกครั้ง และกัปตันผู้นั้นก็กระตุกเหมือนหุ่นเชิดกลับมายืนนิ่งเตรียมพร้อม
“หยุดเธอซะ” บาเทคกล่าว เสียงของเขาทั้งหยาบกร้านและชื้นแฉะ อย่างกับเสียงแก๊สที่ลอยฟุ้งจากพื้นดิน “เอาเครื่องรางมา”
อิเลาอิไม่หยุดรอว่าเขาจะทำอะไร เธอก้าวออกไปอย่างมั่นใจในพื้นที่โล่งและตวัดรูปปั้นของเธออย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ใส่ร่างแสนเปราะบางของรูเบน
เขากระเด็นไปอีกฝั่งของโถงจนปะทะเข้ากับอีกด้านของท้องเรือจนไม้กระดานหักเป็นสองท่อน บาเทคกระโดดถอยด้วยความประหลาดใจและคำรามออกมาด้วยความกระวนกระวาย “นักบวชหน้าโง่!”
“เลือกนักสู้ให้มันดีกว่านี้หน่อย” เธอเอ่ย “หรือไม่ก็มาสู้ด้วยตัวเอง?”
เธอก้าวตรงเข้าหาเขา และการถอยร่นของสิ่งมีชีวิตตนนั้นก็ช่วยตอบคำถามให้เธออย่างชัดเจน “เจ้านายของข้าได้มอบอาวุธที่ทรงพลังกว่าเทพีของเจ้าให้กับข้า” เขาตวาด “รวมถึงนักสู้ไว้ใช้ต่อสู้แทน”
เป็นอีกครั้งที่ลูกแก้วในมือเขาส่องแสง... จากนั้นกัปตันก็ลุกยืนหยัด ร่างที่ถูกหักบิดเบี้ยวของเขากลับขึ้นมายืนอีกครั้ง
“เจ้าฆ่าเขาไม่ได้” บาเทคบอกกับอิเลาอิ ริมฝีปากของเขากลับกลายเป็นรอยยิ้มยิงฟันกว้างแบบเดียวกับปากปลาดุกของราชาแห่งหนองน้ำ “ข้าพาเขากลับมาได้ทุกเมื่อ
ของขวัญจากผู้จุดตะเกียงทำให้ข้าควบคุมวิญญาณของเขาได้”
ผู้จุดตะเกียง—เทรช! อิเลาอิถอยไปด้านหลัง วัตถุโบราณที่สามารถกักขังดวงวิญญาณ ของขวัญจากเทรช? ให้ตายต่อเทพี ไม่ดีแน่ ๆ
ร่างของรูเบนขยับเขยื้อนไม่ต่างไปจากกิ่งไม้ที่ถูกมัดติดกันด้วยเส้นด้าย อิเลาอิพอจะมองเห็นกล้ามเนื้อของเขาที่ถูกมัดรวมกันตามท่อนแขนและคอ ตอนนี้เขาถูกควบคุมโดยเวทมนตร์ ไม่ใช่ด้วยเจตจำนงของตน ด้วยการบิดขาที่แตกหัก จู่ ๆ เขาก็พุ่งทะยานเข้าหาอิเลาอิด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ เธอพุ่งหลบอย่างเก้กังเข้าไปยังช่องระหว่างปืนใหญ่จนทำรูปปั้นหลุดมือ และมันก็กลิ้งไปตามพื้นกระดานด้านล่างของเรือ
พวกเขาหยุดพักชั่วครู่ รูเบนจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาปีศาจ อิเลาอิหายใจเข้าลึก จากนั้นก็พุ่งไปหารูปปั้นของเธอ รูเบนพุ่งเข้ามาและเตะเข้าที่ชายโครงของเธอ การโจมตีนั้นรุนแรงดั่งถูกกระแทกโดยสากขนาดยักษ์ และตอนนี้ก็ถึงคราวของอิเลาอิที่จะกระเด็นไปกระแทกกระดานไม้บ้าง รูปปั้นหลุดกระเด็นจากมือของเธอและพุ่งผ่านท้องเรือไป เหลือไว้เพียงช่องว่างที่ใหญ่เกือบเท่าตัวของอิเลาอิ
ในขณะที่นิ้วมือของเธอหลุดออกจากผิวของรูปปั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างเธอและนากาคะโบรอสนั้นเสื่อมถอยลง ให้ตาย! ต้องใช้หมัดงั้นสิ เธอพยายามดิ้นรนออกมาจากไม้กระดานเพื่อเผชิญหน้ากับรูเบน
“ไม่เหลือเวทมนตร์แล้วหรอ?” รูเบนแสยะยิ้ม
“แต่ไม่ใช่ความศรัทธาของข้า ข้าอยากจะหักเจ้าเป็นสองท่อนมาทั้งวันแล้ว” อิเลาอิตอบกลับ “และข้าว่านากาคะโบรอสจะช่วยให้คำขอนั้นเป็นจริง”
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะปล่อยหมัดเตรียมเสยคางรูเบน บาเทคก็ยกมือขึ้น ลูกแก้วในมือของเขากะพริบขึ้นอีกครั้ง จากนั้นกะลาสีที่อยู่ในเปลญวนก็เริ่มลุกขึ้นตัวตั้งตรงเป็นไม้กระดาน พวกเขาแต่ละคนกระโจนออกจากเปลญวนไม่ต่างอะไรไปจากหุ่นยนต์จากพิลโทเวอร์
“เจ้ากำลังดูหมิ่นคนตาย” อิเลาอิคำราม
“พวกเขาไม่มีวันได้ตายจนกว่าข้าจะสั่งให้พวกเขานอนลงและตายไป!”
บาเทคเหวี่ยงลูกแก้วไปข้างหน้า และเหล่ากะลาสีก็เหวี่ยงหมัดใส่อิเลาอิ มีพวกเขาอยู่แปดหรือเก้าคน และแต่ละคนก็โจมตีรุนแรงไม่ต่างจากแรงปะทะจากแมวน้ำไบร์น อิเลาอิตั้งการ์ดขึ้นป้องใบหน้าพลันคอยหลบเลี่ยงการโจมตีไปในตัว
เมื่อไร้ซึ่งรูปปั้นของเธอ เธอจึงไม่อาจอัญเชิญหนวดของนาคากะโบรอสขึ้นมาปัดเป่าพวกเขาได้ แต่เธอยังออกหมัดได้ องค์เทพีกำลังทดสอบข้า เธอคิด แต่มันคือการทดสอบที่ข้าพร้อมน้อบรับ!
เธอโจมตีใส่กะลาสีคนหนึ่งรุนแรงเสียจนแขนของเขาบิดหักเสียงดังก้องอย่างกับแผ่นไม้ปริแตก เธอตีเข่าใส่อีกคนหนึ่งแรงเสียจนร่างของเขากระเด็นไปกระแทกใส่บันไดขึ้นดาดฟ้าเรือจนหัก เธอเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบการต่อสู้ที่เธอเรียนรู้มาจากวันคืนแห่งการฝึกฝนเป็นนักบวช กำปั้นพุ่งออกไปเฉกเช่นการปะทะของเรือลำยักษ์
และขาก็ตั้งมั่นไม่ต่างไปจากฐานของเกาะที่ยึดมั่นอยู่ใต้ทะเล ขณะเดียวกันก็คอยอธิษฐานถึงนาคากะโบรอสไปในตัว เธอหลบหมัดของคริสตอฟ เหวี่ยงเขาข้ามไหล่ และก็ทุ่มเขาใส่พื้นอย่างจังจนสีแดงเปื้อนเต็มหน้าผากของเขาบนพื้นกระดานไม้
เธอค่อย ๆ ถอยตัวไปยังช่องที่เกิดบนกำแพง ด้านนอกตัวเรือ ข้าจะมีพื้นที่ให้สู้เพิ่มขึ้น “กัปตัน เจ้าคือความน่าอับอาย” เธอยั่วยุ “เจ้าคือไอโง่ในสายตาทุกคน”
และก็อย่างที่เธอคาดไว้ สีหน้าของรูเบนท่วมท้นไปด้วยความโกรธ
“เจ้ารู้สึกอ่อนแอก็เพราะเจ้าอ่อนแอ” เธอร่ายต่อ “ไม่มีใครช่วยเรื่องนั้นได้”
เขาพุ่งตัวใส่เธอ และอิเลาอิก็ปล่อยให้แรงกระโจนพาพวกเขาทั้งสองพุ่งทะลุออกไปด้านข้างเรือ
พวกเขาโผล่ออกมาสู่แสงสว่างในอ้อมกอดกันและกัน จากนั้นเธอก็พอเหลือบเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้าเรือ โยริคถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่ากะลาสี โดยที่พวกเขาแต่ละคนล้วนมีไฟสีฟ้าล้อมกาย เธอทันเห็นเขาฟาดพลั่วข้างกายใส่หญิงคนหนึ่งอย่างจังจนกระเด็นตกเรือ
จากนั้นเธอและรูเบนก็ตกลงสู่ทะเล นี่คืออาณาเขตของเธอ รูเบนอาจจะแข็งแกร่งเกินมนุษย์ แต่เขาผู้นี้ว่ายน้ำไม่ได้ อิเลาอินั้นฝึกฝนการว่ายน้ำผ่านมรสุมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เธอกดเขาไว้กับพื้นทรายใต้อ่าว บีบคอเขาไว้ และกดเขาไว้จนแน่น จากนั้นก็เริ่มรัวชกใส่เขาจนฟัดของเขาบาดเข้าที่หมัดของเธอ
หากมีพลังงานเพียงพอ อิเลาอิสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้เกือบห้านาที แต่การชกรูเบนจนหมดสตินั้นใช้พลังงานเป็นอย่างมาก เธอจึงทนได้เพียงหนึ่งนาทีกว่าเท่านั้นก่อนที่จะต้องกลับขึ้นมายังผืนน้ำเพื่อที่จะรับอากาศหายใจ
รูเบนยังคงตะเกียกตะกายไร้เรี่ยวแรงตวัดทรายจนฟุ้งไปทั่วอยู่ที่ใต้อ่าว อิเลาอิว่ายกลับลงไป ดึงเสื้อคลุมของเขา และลากเขาขึ้นไปยังชายฝั่ง “ยอมแพ้ซะ” เธอตะคอกและต่อยเขาอีกครั้ง เขาไอออกมาเป็นน้ำทะเลเฮือกใหญ่ “ยอมแพ้ซะ! เจ้าก็เหมือนคนตายไปแล้ว”
สายตาของรูเบนมองกลับไปยังเรือ อิเลาอิเองก็หันมองตามสายตานั้นไปยังภาพของโยริคและบาเทคที่กำลังปลุกปล้ำกันอยู่ที่หัวเรือ โยริคล็อกคอของบาเทคไว้แน่น แต่ไม่ช้าลูกแก้วในมือของวิญญาณตนนั้นก็ยกชูสูงขึ้น...
ลูกแก้วเปล่งแสงสีขาวออกมา และความเจ็บปวดก็พุ่งเข้าปะทะจนทำให้อิเลาอิล้มคุกเข่า อย่างกับว่ามีใครบางคนเอาหอกเปลวเพลิงทิ่มทะลุศ๊รษะของเธอ ขอแต่เทพี นี่มันอะไรกัน? เธอรู้สึกเจ็บเสียจนเคลื่อนไหวตัวไม่ได้
รูเบนคลานเข้ามาหาเธอด้วยแขนขาที่หักเป็นสองท่อนพร้อมมีดในมือ “เจ้านายของเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป อิเลาอิ” เขาเอ่ย “พวกเราล้วนมีคนที่เราต้องตอบรับ และเขาก็ตอบรับวิญญาณที่มีพลังดั่งเทพเจ้า... ยกเครื่องรางให้เขาไปเถอะ”
อิเลาอิเพิ่งจะทำลาย “เทพเจ้า” นั่นไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน “ไม่” คือคำเดียวที่เธอพอจะเปล่งออกมาได้
แสงแผดเผาจากลูกแก้วส่องประกายมาจากเรืออีกครั้ง และครั้งนี้ก็รุนแรงยิ่งกว่าเก่า อิเลาอิกัดฟันแน่น ครั้งนี้เหมือนกับมีคนกำลังจะฉีกกระชากจิตใจของเธอจากภายใน
“ยอมแพ้ซะ” รูเบนขอร้อง “เขาจะดูดวิญญาณของเจ้าทะลุออกสองตาและทำให้เจ้ากลายเป็นหุ่นเชิด แบบที่เขาทำกับข้า”
“ข้าอยาก... เห็นจริง... ว่าจะเป็นยังไง”
ตอนนี้สำหรับเธอแค่ยกแขนยังลำบาก เธอจึงตบหลังมือใส่หน้ารูเบนไปหวดนึง เขาเองก็บาดเจ็บหนักเสียจนล้บพับไป
ไม่กี่ช่วงวินาทีต่อมา เงามืดก็ปรากฏพาดผ่านร่างของอิเลาอิ และบาเทคก็โยนร่างของโยริคมาข้างเธอ โยริคดูมึนงง แต่ยังมีชีวิตอยู่
ด้วยรยางค์แห่งหมอกทมิฬที่ลอยอยู่ร่างกาย บาเทคก้มลงปลดกล่องล็อกออกจากเข็มขัดของอิเลาอิ “ของรางวัลของข้า” เขาแสยะหัวเราะ
“รักษาข้าด้วยนายท่าน” รูเบนอ้อนวอน “ได้โปรด... ข้ากำลังจะตาย”
บาเทคทำแค่เพียงหัวเราะเยาะเย้ยหยันออกมา “ไม่”
อิเลาอิรู้ดีว่าพวกเขาเหลือเวลาไม่มากก่อนที่บาเทคจะจากไป เธอจึงหันไปหาโยริค “สัปเหร่อ” เธอกระซิบ
โยริคสะดุ้ง สลัดตัวเองหลุดจากภวังค์และตั้งสติอีกครั้ง จากนั้นก็วางฝ่ามือลงบนผืนทรายเพื่อดันตัวเองให้ยืน แต่ก็พลันต้องดึงมือขึ้นมาอย่างกับถูกไฟลวก “มีบางอย่างอยู่ข้างใต้นี้” เขาตอบกลับ “คนตาย ซากศพของผู้วายชนม์”
รูเบนเข้าไปเกาะปลายเสื้อของเจ้านายคนใหม่ของเขา “ข้าอยากมีชีวิต” เขาขอร้อง
เขาไม่รอดแน่ อิเลาอิรู้ดี แต่ลูกเรือของเขายังรอดได้ เธอมองไปยังบาเทค จากนั้นก็มองไปยังโยริค “ปลดปล่อยพวกเขา”
โยริคหลับตาลง “จงลุกขึ้น” เขากล่าวกับซากโครงกระดูก “ข้ามีงานให้เจ้าทำ!”
อิเลาอิสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวก่อนเสียงจะมาเสียอีก
ผืนทรายเริ่มร่ายระบำ แผ่นขี้เถ้าที่ทับถมอยู่ ณ ตีนภูเขาไฟเริ่มไหลทะลักลงมาหาพวกเขา บาเทคมองไปรอบ ๆ พร้อมความกังวลที่เกิดขึ้นในใจ ภายใต้เท้าของพวกเขา ภายใต้ชั้นหินใต้ทะเล มีบางอย่างกำลังปริแตก
จากนั้นขบวนวิญญาณก็ลุกขึ้นยืนหยัด
รอยแยกภายใต้ฝ่ามือของโยริคเกิดแสงส่องสว่างและปรากฏเป็นฝูงห่าวิญญาณแค้น อิเลาอิประจักษ์เห็นเหล่าดวงวิญญาณกระโจนออกมาจากผืนทรายรอบกายเธอ ร้องระงมด้วยความโกรธแค้นดังเสียจนเธอแทบลืมหายใจ กลิ่นกำมะถันที่เกิดจากดวงวิญญาณคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ อากาศโดยรอบเริ่มหนักขึ้นจากร่างโปร่งใสและไหม้เกรียมของพวกเขา และแม้แต่สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงตามไป
โยริคยกมือของเขาขึ้นและเหวี่ยงไปทางบาเทค เกิดเป็นเสียงแส้ฟาดผ่าอากาศ จากนั้นกลุ่มก้อนหมอกทมิฬก็ลอยออกจากผ้าคลุมของเขาและปะทะเข้าที่ร่างของนักวิชาการชาวเฮเลีย ทำใให้หมอกทมิฬที่อยู่รอบกายเขาเริ่มพุ่งพล่านและบิดวนหนัก
“ชายผู้นี้คือข้ารับใช้ของหมอก” โยริคตะโกน “หมอกที่ปลุกพวกเจ้าขึ้นมาและกักขังไว้ที่นี่!”
ดวงวิญญาณพุ่งตรงเข้าหาบาเทค อย่างกับหมาล่าเนื้อที่ได้กลิ่นเหยื่อ
“กำจัดเขาซะ” โยริคบัญชา
คลื่นแห่งจิตวิญญาณถาโถมเข้าใส่บาเทค ตวัดตัวเขาจนล้มลง จากนั้นก็ขุดผืนทรายรอบกายให้กลายเป็นหลุมล้อมรอบ ดวงวิญญาณคนตายอันโกรธแค้นกัดแทะชุดคลุมของบาเทคและอัดเขาด้วยกำปั้น บาเทคได้แต่บิดกายโอดร้อง เพราะการโจมตีแต่ละครั้งของพวกเขานั้นช่างแผดเผาดั่งเปลวเพลิง
จากนั้นบางอย่างในมือของเขาก็เปล่งแสง กล่องล็อก! อิเลาอิบังคับร่างกายให้ลุกขึ้น ผืนทรายรอบกายตอนนี้สั่นไหวไปมาจากมวลวิญญาณร้อยพันที่ลุกขึ้นมาจากพื้นดิน ดวงวิญญาณเหล่านั้นพัดผ่านผมของเธอไปดั่งคลื่นน้ำและปะทะผ่านร่างเธอไม่ต่างอะไรจากลมกรรโชกแรง ตอนนี้สำหรับเธอแค่ยืนยังลำบาก
เธอก้าวโซเซไปข้างหน้าจนเอื้อมจับชุดคลุมของบาเทคได้ในที่สุด ดวงวิญญาณทั้งหลายเริ่มรัดพันตัวเธอ กรีดร้องพยายามจะเข้าโจมตีชายผู้อยู่เบื้องหน้า การยึดตัวเขาไว้นั้นไม่ต่างอะไรจากจากการยึดธงให้อยู่กับพื้นภายในตาพายุ เธอดึงเขาเข้ามาใกล้ “เอาเครื่องรางคืนข้ามา!”
“มันเป็นของเจ้านายข้า” บาเทคคำราม
เธอต่อยเข้าที่กรามของเขา รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแตกหัก “เจ้านายของเจ้าตายแล้ว” เธอตะโกน “ข้าและสหายกำจัดเขาไปแล้ว!”
แต่กรามของเขาก็บิดกลับมาเข้ารูปอีกครั้ง “ไม่” บาเทคกร่นร้อง น้ำมันดินกระเด็นออกจากริมฝีปากเหี่ยวบิดเบี้ยวของเขา “เขายังมีชีวิตอยู่!”
เขาปลดปล่อยลูกแก้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อิเลาอิเอื้อมไปจับมัน พื้นผิวเรียบของมันแผดเผาฝ่ามือของเธอ ทว่าเธอก็ยังสามารถกระชากมันออกมาจากเงื้อมมือของเขาพร้อมกับที่มันปล่อยแสงครั้งสุดท้าย ดวงวิญญาณรอบกายเขากระเด็นและกรีดร้องไปคนละทิศทาง และแม้แต่อิเลาอิก็เช่นกัน
เธอพอมองเห็นภาพบาเทคดีดตัวไปทางทะเล ในมือของเขากำกล่องล็อกไว้แน่น เขาลอยอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีแห่งชัยชนะ...
แต่ไม่นานดวงวิญญาณก็ไล่ตามทัน พวกเขาห้อมล้อมบาเทคไว้ แรงปะทะผลักให้ตัวเขากระเด็นไปยังเส้นขอบทะเล ร่างของเขากระดอนบนผืนน้ำไม่ต่างจากลูกปืนใหญ่ โดยมีสายรยางค์พวยพุ่งรอบล้อมทั้งสองด้านของร่างกาย
“ไม่” อิเลาอิได้ยินเสียงโยริคห้ามเหล่าวิญญาณคนตาย “เดี๋ยวก่อน!”
ดวงวิญญาณไม่ฟังเสียงของเขา ตอนนี้ท้องสมุทรนั้นปะทุไปด้วยดวงวิญญาณแค้น และพวกเขาก็กำลังจะพรากศัตรูของอิเลาอิรวมถึงหน้าที่ของเธอไป พวกเขาได้แต่เฝ้ามองออกไปที่เส้นขอบฟ้า ตามมาด้วยเสียงระเบิดขึ้นกลางทะเล เกิดเป็นน้ำพุพวยพุ่งสูงยิ่งกว่าลำเรือ และในไม่กี่วินาทีถัดมา น้ำพุเหล่านั้นก็พุ่งขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าไกลออกไป ดวงวิญญาณเหล่านั้นเคลื่อนตัวรวดเร็วกว่าเรือหรือรถม้าอสรพิษใดจะตามทัน
อิเลาอิทิ้งลูกแก้วของบาเทคลงพื้นและทรุดลงพร้อมจุ่มหัวของเธอลงไปในผืนทราย ข้าทำพลาด เขาได้วิเอโก้ไปแล้ว
โยริคล้มลงข้างเธอ “นั่นเป็นเจตจำนงของพวกเขา ไม่ใช่ของข้า” เขาเอ่ย
“ข้าทำภารกิจไม่สำเร็จ” เธอเอ่ย “ข้าทำให้ซาร่าห์ผิดหวัง”
“ใครนะ?”
อิเลาอิพยายามจะลุกขึ้นนั่ง “เพื่อนสนิทที่สุดของข้า ข้าบอกกับนาง ข้าสัญญาว่าจะทำลายมัน” ในยามที่นางต้องการข้ามากที่สุด ข้าก็ทำให้นางผิดหวัง ขอแต่เทพี
ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!
โยริคเฝ้ามองดวงวิญญาณที่ยังพรั่งพรูสู่ผืนทะเล “ข้าได้ปลดปล่อยบางสิ่งที่ข้าควบคุมไม่ได้” เขากล่าว “พวกเขาถูกกักขังไว้ใต้นี้เป็นเวลาหลายพันปี ใต้ก้อนหินพวกนี้ มันคือนครแห่งจิตวิญญาณ มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้น พวกเขาต้องการล้างแค้น... และเจ้านั่นก็คือตัวตนแห่งหมอกทมิฬที่เป็นคนสร้างพวกเขาขึ้นมา”
เมื่อวิญญาณตนสุดท้ายลุกขึ้นจากพื้นดินและพุ่งทะยานไปในผืนทะเล อิเลาอิก็สัมผัสได้ว่าความโกรธของพวกเขาเริ่มเลือนไป “อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?” เธอถาม
“หากพวกเขาเดินทางกลับไปยังเกาะแห่งเงา ข้าจะตามหาพวกเขาจนเจอ” โยริคเอ่ย “แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะได้เจอเจ้าคางคกที่ชิงวิเอโก้ไป”
พวกเขาพยายามลุกขึ้นยืนและมองไปรอบสนามรบ การควบคุมจิตใจของบาเทคหายไปจนหมดสิ้น เธอพอมองเห็นกะลาสีหลายคนนอนเรียงรายอยู่บนชายหาด และก็มีบางคนที่ห้อยอยู่บนขอบเรือ รูเบนเองก็นอนอยู่ใกล้ ๆ โดนกลบฝังอยู่ใต้ผืนทราย อิเลาอิเอื้อมไปสัมผัสชีพจร แต่มันไม่มีเหลือแล้ว “เขาตายแล้ว” เธอบอกโยริค
“แต่วิญญาณของเขายังอยู่ที่นี่”
โยริคคุกเข่าลงข้างร่างของรูเบนและแตะไปที่ไหล่ของเขา จากนั้นอิเลาอิก็เห็นเงาของเขาหลุดออกมาจากร่าง ส่องแสงประกายด้วยสีฟ้าโปร่งใสท่ามกลางแสงยามเช้าที่สาดส่อง
เสียงของเขาทั้งแผ่วเบาและสะท้อนในอากาศ อย่างกับเสียงกระซิบจากอีกฟากของถ้ำ “ข้าตายแล้ว!” เขาโพล่งขึ้นมาเหมือนไม่เชื่อตัวเอง “ให้ตาย ข้าตายจริง ๆ!”
โยริคเอื้อมไปจับมือของดวงวิญญาณ “เจ้าปลอดภัยแล้ว” เขากล่าว “เจ้าได้ทิ้งร่างกายไว้เบื้องหลัง”
รูเบนมองกลับไปยังร่างที่บิดเบี้ยวของเขาด้วยความช็อก
“เจ้าทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังได้” โยริคเอ่ย “ข้าปลุกเจ้าขึ้นมาเพื่อที่เจ้าจะได้พบความสงบ”
รูเบแน่นิ่ง “พบความสงบ?”
“มีอะไรที่เจ้าอยากพูดหรือเปล่า?” โยริคถาม “อะไรที่อยากทำ?”
“ข้าจะไม่ไปพบความสงบ โดยที่ไร้ซึ่งลูกเรือ” รูเบนกล่าว “ข้าคือกัปตันของพวกเขา ข้าติดหนี้พวกเขา” เขามองไปรอบ ๆ “วัตถุโบราณของเจ้าปีศาจนั่นอยู่ที่ไหน?”
อิเลาอิพูดไม่ออก ในช่วงวินาทีแห่งความตาย ในที่สุดรูเบนก็คิดถึงลูกเรือของตน ขอแต่เทพี โยริคพูดถูก คนตายสามารถเปลี่ยนแปลงได้
“วัตถุนั่นอยู่กับข้า” อิเลาอิกล่าว “เจ้าใช้มันได้หรือเปล่า?”
“มันได้วิญญาณของข้าไป” รูเบนกล่าว “ข้ารับรู้ได้ว่ามันทำงานยังไง มันอาจจะช่วยข้าไม่ได้...
แต่มันยังช่วยพวกเขาได้ถ้าพวกเขายังไม่ตาย”
“ช่วยข้ารักษาพวกเขา” โยริคร้องขอ “ได้โปรดบอกวิธีกับข้า”
รูเบนหันไปหาอิเลาอิ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มขี้เล่น รอยยิ้มจริงใจเดียวที่เธอได้เห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน “จงดูข้า ท่านนักบวช” เขากล่าว “ข้าจะแสดงให้เห็นว่าข้าทำอะไรได้”
จากนั้นเขาก็กำมือของโยริคแน่น... ก่อนที่จะสลายหายไป
โยริควิ่งลงไปยังชายหาด กะลาสีที่อยู่ที่นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในสภาพปางตาย ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ว่าคนไหนที่วิญญาณยังคงอยู่ และคนไหนที่วิญญาณได้จากไป โยริคก้าวเดินไประหว่างซากศพโดยใช้ความรู้ของรูเบนเป็นเครื่องนำทาง และเมื่อลูกแก้วเปล่งแสงขึ้นมา พวกเขาก็กลับมาหายใจอีกครั้ง
ในขณะที่คริสตอฟสำลักกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อิเลาอิก็คิด ว่าโยริคนั้นทั้งรักษาคนเป็นและคนตาย เทพีจะคิดเช่นไรกับเขากัน?
แต่เธอก็รู้ดีว่าเทพีจะไม่บอกว่าควรคิดอย่างไรกับเขา เพราะเทพีนั้นอยากให้เธอตัดสินใจเอาเองเสียมากกว่า
เย็นวันนั้น หลังจากที่เธอเก็บกู้รูปปั้นขึ้นมาจากก้นสมุทร ทั้งเธอและโยริคก็นำร่างของรูเบนและลูกเรือที่เสียชีวิตขึ้นไปฝังไว้ที่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟ
“ข้างบนนี้วิวสวยมาก” โยริคเอ่ยชมขณะกลบหลุมศพสุดท้าย เขาถือพลั่วของเขาไว้อย่างกับช่างฝีมือผู้ช่ำชอง
อิเลาอิเดินตรงไปยังขอบของภูเขาไฟและมองลงไปยังธารลาวาสีแดงสลับดำที่ไหลอยู่เบื้องล่าง เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง “บางทีพวกเขาอาจจะได้เฝ้ามองโลกใบนี้ถูกปกคลุมด้วยการล่มสลายจากบนนี้” เธอกล่าว
โยริคยืนข้างนาง “ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น” เขากล่าว “เพราะถึงแม้วิเอโก้จะพยายามสังหารคนทั้งโลก... ยังไงก็ตาม คนตายก็มีเจตจำนงของตน” เขามองไปยังอิเลาอิ “ข้าได้พบผู้คนมากมายตลอดชีวิตของข้าที่อยากเห็นเขาถูกกำจัด พวกเขาจะช่วยเราได้”
อิเลาอินึกคิดอยู่ชั่วครู่ คนตายยืนหยัดต่อสู้กับวิเอโก้? เธอเคยเห็นอะไรแบบนั้นมาครั้งนึงบนเกาะแห่งเงา แต่มันเป็นภาพที่หาได้ยากมาก และกับโยริค จะมีอนาคตอีกรูปแบบที่เป็นไปได้งั้นเหรอ? ดวงวิญญาณและชาวบูฮ์รูจับมือกันเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน? มันดูเป็นไปไม่ได้ แต่...
“ข้าจะช่วยพวกเขา” โยริคสัญญา
อิเลาอิรู้สึกได้ถึงความหวังประหลาดภายในหัวใจ “เจ้าเป็นคนจิตใจดี” เธอกล่าว “ข้าคิดว่าความสามารถของเจ้าคือสัญญาของนากาคะโบรอสที่เป็นจริง พลังในการขับเคลื่อนคนตายให้ไม่หยุดนิ่ง... ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อนในชีวิต”
โยริคยักไหล่ “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ”
“ไม่” อิเลาอิยืนกราน “เจ้าทำมากกว่าที่ทุกคนหวังไว้ เจ้าปลดปล่อยวิญญาณของรูเบน เจ้าฝังร่างของเขาหลังจากเขาตาย และเจ้าก็นำพาการเคลื่อนไหวมาสู่ผู้วายชนม์!”
ในขณะที่เธอพูดคำเหล่านั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงความประหลาดใจภายในกาย หากสิ่งนี้เป็นไปได้ เธอคิดในใจ
เช่นนั้นอย่างอื่นก็เป็นไปได้ การเคลื่อนไหวแก่เหล่าสหาย อิสรภาพสำหรับซาร่าห์
โลกที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน
“ต้องมีเหตุผลที่นากาคะโบรอสพาพวกเรามาพบกัน” เธอกล่าวต่อ “ข้าว่าเราสามารถเรียนรู้จากกันและกันได้ แบบที่บรรพบุรุษของเราทำ” ความเป็นไปได้ต่าง ๆ พรั่งพรูในหัวของเธอ ชาวบูฮ์รูโบราณและนักวิชาการของเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ร่วมกันสร้างสิ่งมหัศจรรย์มากมาย สิ่งที่พวกเขาขาดไปก็คือเป้าประสงค์เดียวกัน ภารกิจที่จะนำพาพวกเขาให้เดินไปด้วยกัน “สิ่งที่ภราดรของเจ้าต้องการทำให้โลก สิ่งที่ศรัทธาของข้าวาดฝัน มันคือสิ่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงและการเติบโต มันคือการเป็นอิสระ!”
“ข้าไม่มั่นใจว่าคนอื่นในลัทธิของเจ้าจะคิดแบบเดียวกันนะ” โยริคหัวเราะ
“ข้าจะทำให้พวกเขาเชื่อ” อิเลาอิสัญญา
“ข้าเชื่อว่ามันเป็นไปได้ ในสมัยข้ายังเยาว์ ผู้คนของเรานั้นเป็นมิตรต่อกัน ทว่าตอนนี้ข้าต้องกลับไปยังบ้านของข้าก่อน ยังมีดวงวิญญาณที่ข้าติดค้างอยู่”
หญิงสาวแห่งหมอก อิเลาอิคิด “มันคือวิถีของเจ้า อย่างที่เจ้าพูดไป การคงอยู่และการอุทิศตน แต่หากวันหนึ่งเจ้าพร้อมที่จะก้าวออกจากที่นั่น บูฮ์รูจะอ้าแขนยินดีต้อนรับนักบวชผู้ทรงเกียรติเฉกเช่นเจ้า เรายังต้องการพันธมิตรเพื่อสู้ศึกกับวิเอโก้”
โยริคมองลงไปยังผืนลาวาเบื้องล่าง “ไม่เคยมีใครเรียกข้าว่านักบวชผู้ทรงเกียรติมาก่อน” เขาหุบยิ้มออกมา